คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การเท่ากับสั่งไม่รับคำให้การจำเลยคดีจึงปรับเข้าอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3) ประกอบด้วยมาตรา 18 วรรค 3 ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชี จำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียก แต่ไม่ได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนกำหนดยื่นคำให้การ เมื่อพ้นกำหนดยื่นคำให้การแล้วในวันเดียวกันนั้น โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การภายใน 7 วัน และสั่งยกคำร้องของโจทก์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การภายในกำหนด ต่อมามีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอีกนายหนึ่งทำคำสั่งในรายงานพิจารณาว่า มีผู้พิพากษาผิดพลาดสั่งคำร้องของจำเลยที่ 1 จึงควรให้แก้ไขเสียใหม่ ให้ถือว่าจำเลยยื่นคำร้องขอยืดเวลายื่นคำให้การ เมื่อขาดนัดยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอให้พิจารณาฝ่ายเดียวได้ และให้ถือว่าจำเลยทั้ง 2 คนขาดนัดชั้นให้การ ให้นัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา พิพากษายกอุทธรณ์

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยที่ 2 ขาดนัดด้วยนั้น เท่ากับสั่งไม่รับคำให้การจำเลย คดีจึงปรับเข้าอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3) ประกอบกับมาตรา 18 วรรค 3 ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ และตามท้องสำนวนปรากฏชัดว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การตามกำหนดนัด

พิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัด

Share