คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดที่ 291 ร่วมกับ ท. ท.ตายมีผู้รับมฤดกส่วนของ ท.ต่อมาเป็นทอด ๆ จนถึง ด. เมื่อ ด. ตาย โจทก์,จำเลยเป็นผู้รับมฤดกของ ด. ร่วมกันและได้ทำสัญญาปราณีประนอมกัน คือ จำเลยยอมแบ่งที่ดินโฉนดที่ 505 ตามเขตต์ที่โจทก์ปกครองให้โจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยรับมฤดกของ ด.แต่ผู้เดียว บัดนี้จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอม โจทก์จึงฟ้องโดยมีคำขอท้ายฟ้อง ดังนี้
1. ให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมยอมความ หรือมิฉะนั้นให้ถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ 291 ในฐานะผู้รับมฤดกของ ด.
2. ขอให้ที่นาส่วนของ ด.เป็นมฤดกตามเดิม
3. แบ่งที่นามฤดกของ ด. ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ดังนี้ ต้องแปลว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัตตามสัญญาปราณีประนอมเป็นข้อต้น ถ้าศาลไม่บังคับให้ จึงขอให้บังคับจำเลยตามคำขอในข้ออื่น ๆ อันเกี่ยวกับมฤดกของ ด. ฉะนั้นเมื่อศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมแล้ว ก็เป็นอันไม่มีประเด็นจะต้องไปชี้ในเรื่องที่ดินโฉนดที่ 291 อันเกี่ยวกับมฤดกของ ด. อีก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ ๒๙๑ โจทก์และนายทำบิดาโจทก์ถึอกรรมสิทธิร่วมกัน นายทำตาย นางลิ้มมารดาจำเลยรับมฤดกส่วนของนายทำ นางลิ้มตาย นางสาวดีน้องสาวโจทก์รับมฤดกส่วนของนางลิ้ม นางสาวดีตาย โจทก์,จำเลยเป็นผู้รับมฤดกและทำสัญญาปราณีประนอมกันคือ จำเลยยอมแบ่งที่ดินโฉนดที่ ๕๐๕ ตามเขตต์ที่โจทก์ปกครองให้โจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยรับมฤดกส่วนของนาวสาวดีผู้เดียว เจ้าพนักงานแก้ทะเบียนให้แล้ว แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งโฉนดที่ดิน ๕๐๕ ให้โจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษา
๑. ให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมยอมความ หรือมิฉะนั้นให้จำเลยถอนชื่อจากโฉนดที่ ๒๙๑ ในฐานที่จำเลยรับมฤดกนางสาวดี
๒. ขอให้ที่นาส่วนของนางสาวดีเป็นมฤดกของนางสาวดีตามสภาพเดิมต่อไป
๓. แล้วขอให้ศาลแบ่งที่นามฤดกของนางสาวดีให้โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๕๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานไปรับวัดในเขตต์ที่จำเลยปกครอง จำเลยไม่ยอม โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิในที่นาโฉนดที่ ๒๙๑ ฉะเพาะส่วนที่ซื้อจากนายพรม ส่วนที่จำเลยรับมฤดกจากนางสาวดี เป็นกรรมสิทธิของจำเลย ส่วนที่ดินโฉนดที่ ๕๐๕ ให้ปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมยอมความ คือให้จำเลยจัดการโอนแบ่งแยกโฉนดที่ ๕๐๕ ให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการที่จะดูว่าโจทก์ฟ้องเรื่องอะไรและขอว่าอย่างไรนั้น จะต้องดูคำพรรณาในคำฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องประกอบกัน คดีนี้โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวข้างต้น เมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นคำฟ้องเรื่องสัญญาปราณีประนอมยอมความ ส่วนคำขอท้ายฟ้องนั้นโจทก์ขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมยอมความอย่างหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยถอนชื่อออกจากโฉนดที่ ๒๙๑ ในฐานะเป็นผู้รับมฤดกควมนางสาวดีอีกอย่างหนึ่ง และเมื่อศาลพิพากษาให้ตามประการที่ ๒ จึงขอต่อไปตามข้อ ๒ และ ๒ ซึ่งหมายความว่า ถ้าศาลบังคับให้ตามสัญญาปราณีประนอมยอมความแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่มีเรื่องสำหรับมฤดกนางสาวดี คดีเรื่องนี้ศาลล่างพิพากษาให้เช่นนี้แล้ว และจำเลยก็ไม่ได้ฟ้องแย้งในเรื่องที่ดินตามโฉนดที่ ๒๙๑ จึงไม่มีประเด็นจะต้องชี้เรื่องที่ดินโฉนดที่ ๒๙๑ แต่ประการใด
พิพากษาแก้ โดยตัดตอนที่ชี้ส่วนของโจทก์และส่วนของนางสาวดี อันตกเป็นมฤดกแก่จำเลยในโฉนดที่ ๒๙๑ เสีย นอกนั้นยืน

Share