คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้จัดการธนาคารอุตสาหกรรมยื่นคำร้องขอหรือคำฟ้องต่อศาลนั้น ไม่ใช่เป็นการทำนิติกรรมของธนาคารอุตสาหกรรมและทั้งไม่ใช่เป็นการตั้งตัวแทนของธนาคารอุตสาหกรรมด้วย หากเป็นแต่ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า คณะกรรมการธนาคารอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ผู้จัดการทำการยื่นคำร้องขอหรือคำฟ้องในคดีได้หรือไม่ เอกสารต่าง ๆ ที่ธนาคารอุตสาหกรรมซึ่งเป็นโจทก์ส่งต่อศาล จึงเป็นแต่เพียงพยานหลักฐาน เบื้องต้นแห่งการมอบหมายให้ดำเนินคดี ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจหรือการตั้งตัวแทนอันจะต้องทำตามแบบ ถ้าจำเลยต้องการโต้แย้งว่า ผู้จัดการธนาคารอุตสาหกรรมไม่ได้รับมอบหมายให้ยื่นคำร้องขอต่อศาล ก็เป็นหน้าที่ของผู้อ้างเอกสาร และผู้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงแห่งเอกสารนั้น จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบให้เห็นประจักษ์

ย่อยาว

คดีนี้ เริ่มด้วยธนาคาร ฯ โดยพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย กรรมการผู้จัดการยื่นคำร้องขอโดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจของคณะกรรมการธนาคาร ขอให้ศาลสั่งกองหมายขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นายสมพงษ์ เชาวนประดิษฐ์ ได้ทำสัญญาจำนองไว้เป็นประกันการที่บริษัท สมพงษ์พาณิชย์ จำกัด กู้เงินธนาคารผู้ร้องเป็นจำนวนเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท บริษัทลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินดอกเบี้ยตามกำหนด ธนาคารได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก้ผู้จำนองแล้วก็ไม่ชำระ
นายสมพงษ์ เชาวนประดิษฐ์ และบริษัทสมพงษ์พาณิชย์ จำกัด ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้จัดการของธนาคารไม่ได้รับมอบหมายให้ยื่นคำร้องขอหรือคำฟ้องนี้โดยชอบ และว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิจะบังคับจำนองเพราะผู้คัดค้านไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขแห่งสัญญากู้ ฯลฯ
ศาลแพ่งให้ดำเนินคดีไปตามบทบัญญัติว่าด้วยคดีมีข้อพิพาท เรียกผู้ร้องขอว่า โจทก์ ผู้คัดค้านว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามลำดับ
ศาลแพ่งสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยต่อสู้ว่า พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยไม่มีอำนาจร้องบังคับจำนองเพราะไม่ได้รับมอบอำนาจและแถลงว่า เอกสาร จ. ๑ – ๒ – ๓ ไม่ปิดอากรแสตมป์และไม่มีจำนวนกรรมการตามกฎหมาย จึงฟังเป็นหลักฐานในคดีไม่ได้ พิพากษาให้ยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิ์จะฟ้องร้องใหม่ เมื่อมีอำนาจโดยชอบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการธนาคารและตาม พ.ร.บ. ธนาคารอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๑๑ ผู้จัดการธนาคารมีอำนาจดำเนินคดีนี้ได้ และตาม พ.ร.บ. ธนาคารฯ มาตรา ๓๙ ธนาคารนี้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในเอกสารของธนาคาร จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลแพ่งวินิจฉัยประเด็นอื่น ๆ อีก แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นในชั้นนี้มีอยู่เพียง ๒ ข้อ คือ
๑. การที่ผู้จัดการของธนาคารอุตสาหกรรมยื่นคำร้องขอหรือคำฟ้องนี้ ผู้จัดการธนาคารได้รับมอบหมายให้ยื่นได้โดยชอบหรือไม่ และ
ในประเด็น ข้อ๑ พ.ร.บ. ธนาคารอุตสาหกรรม พงศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๑๘ บัญญัติว่า ให้คณะกรรมการธนาคารเป็นผู้แทนธนาคารในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก แต่คณะกรรมการธนาคารจะมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารหรือผู้จัดการเป็นผู้แทนแทนก็ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า การมอบหมาย ของคณะกรรมการในกรณีที่ว่านี้ หาใช่เป็นการกระทำนิติกรรมของธนาคารอุตสาหกรรมแต่อย่างใดไม่ และทั้งไม่ใช่การตั้งตัวแทนของธนาคารอุตสาหกรรมหากเป็นแต่ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า คณะกรรมการได้มอบหมายให้ผู้จัดการทำการยื่นคำร้องขอหรือคำฟ้องในคดีนี้หรือไม่ เอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งต่อศาลจึงเป็นแต่เพียงพยานหลักฐานเบื้องต้นแห่งการมอบหมาย ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจหรือการตั้งตัวแทนอันจะต้องทำตามแบบตามที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อโต้แย้ง เมื่อจำเลยต้องการโต้แย้งว่า ผู้จัดการธนาคารไม่ได้รับมอบหมายให้ยื่นคำร้องขอต่อศาล ก็เป็นหน้าที่ของผู้อ้างเอกสารและผู้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริง แห่งเอกสารนั้น จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบให้เห็นประจักษ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา ๖๖ และตาม พ.ร.บ. ธนาคารอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็ได้ให้อำนาจคณะกรรมการที่จะมอบหมายได้ โดยไม่ได้กำหนดวิธีการอย่างใดไว้
ส่วนประเด็น ข้อ ๒ พ.ร.บ. ธนาคารอุตสาหกรรม ฯ มาตรา ๓๙ มีข้อความชัดอยู่แล้วว่า ให้ธนาคารได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร การที่ต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นการให้เสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร อย่างหนึ่ง ข้อโต้แย้งของจำเลยข้อนี้ ฟังไม่ขึ้น
คดียังคงเหลือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้อีกหลายข้อ เป็นประเด็นข้อพิพาท ซึ่งศาลฎีกาเห็นควรให้ศาลชั้นล่างได้วินิจฉัยเสียก่อนตามลำดับศาล จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share