แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ทั้งสามมีโอกาสได้เห็นหน้าจำเลยในลักษณะเต็มใบหน้าในท่าตรง ในระยะใกล้เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อเจ้าพนักงาน ตำรวจจับกุมจำเลยได้ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสาม ก็สามารถชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องโดยระบุว่าจำเลยไม่ใช่ คนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตาย แต่เป็นคนนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ไปกับคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตาย พยานโจทก์ และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ประกอบ กับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคือง กับจำเลยจึงไม่มีเหตุที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจะ แกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษคำเบิกความ ของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีน้ำหนักฟังได้ จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับคนร้ายอีก 2 คนและหลังจากคนร้ายที่นั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์เป็นคนที่สองใช้มีดแทงผู้ตายแล้ว จำเลยนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์หลบหนีไปกับคนร้าย 2 คนนั้นด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมรู้เห็นกับคนร้ายในการไปฆ่าผู้ตาย เพราะตามปกติ วิสัยคนร้ายที่จะไปกระทำความผิดจะไม่นำบุคคล ที่ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันไปด้วยเพื่อให้รู้เห็นการกระทำ ความผิดของตน และการที่คนร้ายใช้มีดแทงผู้ตายก็อยู่ ในความรู้เห็นของจำเลย แต่จำเลยก็ยังนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์คนร้ายหลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าจำเลยได้ร่วม คบคิดกับคนร้ายอีก 2 คน ไปฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้น จำเลยจึงมี ความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางเพียร เพชรขาว มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 จำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง มีคนร้ายใช้มีดเป็นอาวุธแทงนางสุจิตร เพชรขาว ถึงแก่ความตายมีบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและความเห็นของแพทย์เอกสารหมาย จ.8 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนางสาวสุดใจ แก้วสิทธิ์เด็กหญิงอุไรวรรณ เพชรขาว และเด็กชายสมพร แก้วสิทธิ์เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2539 เวลาประมาณ17 นาฬิกา ขณะนางสาวสุดใจกับเด็กหญิงอุไรวรรณกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว เด็กชายสมพรกำลังนั่งดูโทรทัศน์ ส่วนนางสุจิตร เพชรขาว ผู้ตายกำลังลับมีดอยู่ข้างบ้านที่เกิดเหตุจำเลยกับพวกอีก 2 คน นั่งรถจักรยานยนต์คันเดียวกันไปจอดที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ คนขับรถจักรยานยนต์สอบถามเด็กหญิงอุไรวรรณ นางสาวสุดใจและผู้ตายว่ารู้จักนายชวนที่มากรีดยางพาราหรือไม่ เด็กหญิงอุไรวรรณ นางสาวสุดใจและผู้ตายตอบว่าไม่รู้จัก เฉพาะเด็กชายสมพรเบิกความว่าหลังจากผู้ตายตอบว่าไม่รู้จักนายชวน คนขับรถจักรยานยนต์ได้ถามผู้ตายต่อไปว่าแฟนอยู่ไหม ผู้ตายตอบว่าไม่อยู่เด็กชายสมพรก็เดินกลับเข้าบ้านไปดูโทรทัศน์ จากนั้นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามได้ยินเสียงผู้ตายร้องว่าอย่าแทงและขอความช่วยเหลือ แล้วเห็นชายคนนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์เป็นคนที่สองถือมีดวิ่งไล่ติดตามผู้ตายเข้าไปในบ้าน พร้อมกับใช้มีดแทงผู้ตายและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จำเลยกับพวกหลบหนีไปด้วยกันระหว่างที่เด็กหญิงอุไรวรรณ นางสาวสุดใจและผู้ตายพูดจาโต้ตอบกับคนขับรถจักรยานยนต์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเห็นจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เป็นคนสุดท้ายเห็นว่า คดีนี้เกิดเหตุเวลากลางวัน พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเห็นจำเลยในระยะห่างกันเพียง 3 เมตร โดยรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายจอดหันหน้ารถเข้าไปทางหน้าบ้านที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามยืนอยู่ ทั้งพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามได้เห็นจำเลยขณะจำเลยลงจากรถจักรยานยนต์ด้วยนอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุเด็กหญิงอุไรวรรณ นางสาวสุดใจและผู้ตายได้พูดจาโต้ตอบกับคนขับรถจักรยานยนต์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าจำเลยในลักษณะเต็มใบหน้าในท่าตรงและในระยะใกล้เป็นเวลานานพอสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามสามารถชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องโดยระบุว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตาย แต่เป็นคนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตายตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.1 จ.3 จ.5 กับภาพถ่ายหมาย จ.2 จ.4 และจ.6 ซึ่งพันตำรวจโทเจริญ โลสิริพนักงานสอบสวนได้มาเบิกความยืนยันในข้อนี้ นอกจากนี้ตามคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปรากฏว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันประกอบกับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามดังกล่าวจึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามได้เห็นและจำหน้าจำเลยได้ว่าจำเลยได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ร่วมไปกับพวกอีก2 คน เมื่อคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เป็นคนที่สองใช้มีดแทงผู้ตายแล้ว จำเลยกับพวกพากันหลบหนีไปด้วยกันตามพฤติการณ์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับคนร้ายอีก 2 คน และหลังจากคนร้ายแทงผู้ตายแล้ว จำเลยยังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปกับคนร้าย 2 คนนั้นด้วย ย่อมบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยร่วมรู้เห็นกับคนร้ายในการไปฆ่าผู้ตาย เพราะตามปกติวิสัยคนร้ายที่จะไปกระทำความผิดจะไม่นำบุคคลที่ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันไปด้วยเพื่อให้รู้เห็นการกระทำความผิดของตนและการที่คนร้ายใช้มีดแทงผู้ตายก็อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยแต่จำเลยก็ยังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คนร้ายหลบหนีไปด้วยกันเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้ร่วมคบคิดกับคนร้ายอีก 2 คนไปฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้น แม้ตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมจะไม่ได้ความว่าจำเลยได้กระทำอันใด ก็อาจเป็นไปได้ว่าจำเลยเห็นว่าขณะนั้นในบ้านที่เกิดเหตุมีเพียงผู้ตายกับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามซึ่งเป็นเด็กเท่านั้น จึงไม่จำเป็นที่จำเลยต้องลงมือช่วยคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตาย แต่การที่จำเลยอยู่บริเวณที่เกิดเหตุก็พร้อมที่เข้าช่วยได้ทันที หากมีบุคคลอื่นช่วยผู้ตายจึงฟังได้ว่าจำเลยคบคิดกับคนร้ายอีก 2 คนไปฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้นจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้องที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่คงมีแต่ตัวจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ที่จำเลยฎีกาว่าเด็กหญิงอุไรวรรณนางสาวสุดใจและผู้ตายได้พูดจากับคนขับรถจักรยานยนต์เพียงคนเดียวเท่านั้น และการที่ นางสาวสุดใจกับเด็กชายสมพรเดินออกไปหน้าบ้านไม่ได้ตั้งใจที่จะดูหน้าตาคนร้ายแต่อย่างใดไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นและจำจำเลยได้นั้น เห็นว่าเด็กหญิงอุไรวรรณนางสาวสุดใจและผู้ตายพูดจากับคนขับรถจักรยานยนต์คนเดียวก็จริงแต่จำเลยก็นั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดหันหน้าไปทางหน้าบ้านที่เกิดเหตุที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามยืนอยู่ดังนี้ ระหว่างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมพูดจาโต้ตอบกับคนขับรถจักรยานยนต์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมจะเห็นหน้าจำเลย ทั้งยังได้ความอีกว่า ระหว่างนางสาวสุดใจพูดจาโต้ตอบกับคนขับรถจักรยานยนต์นั้น จำเลยได้ลงจากรถจักรยานยนต์จึงทำให้เด็กหญิงอุไรวรรณ นางสาวสุดใจและเด็กชายสมพรเห็นหน้าจำเลยได้อย่างชัดเจน ที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจำเครื่องแต่งกายของจำเลยในวันเกิดเหตุไม่ได้ และเด็กชายสมพรจำไม่ได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยมีหนวดหรือไม่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจะเห็นและจำหน้าจำเลยได้ เห็นว่า การที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจำเครื่องแต่งกายของจำเลยไม่ได้ก็ดีเด็กชายสมพรจำไม่ได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยมีหนวดหรือไม่ก็ดี ไม่ใช่ข้อแสดงให้เห็นว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมไม่เห็นหน้าจำเลยและจำหน้าจำเลยไม่ได้เพราะหากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่เห็นหน้าจำเลยและจำหน้าจำเลยไม่ได้แล้ว คงจะไม่สามารถชี้ตัวจำเลยได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมไปกับคนร้ายที่ใช้มีดแทงผู้ตายได้ถูกต้องซึ่งจำเลยก็ไม่ได้นำสืบว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามชี้ตัวจำเลยไม่ถูกต้อง ที่จำเลยฎีกาว่า ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะให้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามชี้ตัวจำเลย ได้ให้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามดูตัวจำเลยก่อน และเด็กชายสมพรถูกเจ้าพนักงานตำรวจบังคับขู่เข็ญให้ชี้ตัวจำเลยจนร้องไห้นั้นข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในสำนวนแต่อย่างใด และตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาของเด็กหญิงอุไรวรรณกับเด็กชายสมพรเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 ปรากฏว่ามีบุคคลอื่นอีก 5 คน ยืนรวมกับจำเลยหาใช่พนักงานสอบสวนจัดให้จำเลยยืนกับเจ้าพนักงานตำรวจนอกเครื่องแบบเพียง 2 คนดังที่จำเลยฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าผู้ตายถูกฆ่าตายย่อมทำให้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามโกรธแค้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาได้ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามย่อมจะปักใจเชื่อว่าเป็นคนร้าย และน่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะเสี้ยมสอนพยานโจทก์และโจทก์ร่วมให้เบิกความปรักปรำจำเลยนั้น เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามดังกล่าวแต่ละคนอายุเพียง 10 ปีเศษ ไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย สำหรับโจทก์ร่วมไม่ได้อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานทั้งตามทางนำสืบของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่ารู้จักกับจำเลยหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงไม่มีเหตุที่โจทก์ร่วมจะเสี้ยมสอนพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความปรักปรำจำเลย ที่จำเลยฎีกาว่าร้อยตำรวจเอกชัยชนะ ตรุยานนท์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าพยานสอบถามพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสาม แต่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้สอบถามตนนั้น พิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามดังกล่าวแล้วไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความว่าร้อยตำรวจเอกชัยชนะไม่ได้สอบถามพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด คงมีแต่เด็กหญิงอุไรวรรณเบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้สอบถามพยานว่าจำคนร้ายได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งการที่ร้อยตำรวจเอกชัยชนะไม่ได้สอบถามเด็กหญิงอุไรวรรณว่าจำคนร้ายได้หรือไม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กหญิงอุไรวรรณจำคนร้ายไม่ได้ และเด็กหญิงอุไรวรรณยังได้เบิกความต่อไปว่า เมื่อพนักงานสอบสวน สอบสวนพยานพยานให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำคนร้ายได้ ทั้งเหตุที่ร้อยตำรวจเอกชัยชนะไม่ได้สอบถามเด็กหญิงอุไรวรรณว่าจำคนร้ายได้หรือไม่ อาจเป็นเพราะว่าร้อยตำรวจเอกชัยชนะสอบถามนางสาวสุดใจและเด็กชายสมพรแล้ว ฎีกาของจำเลยอื่นนอกจากนี้ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน