คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายโดยทุจริต มิได้ฟ้องว่าจำเลยไม่คืนไม้ที่จับไว้จากผู้เสียหายศาลไม่ฟังว่าจำเลยเรียกเงิน จึงลงโทษจำเลยเพราะไม่คืนไม้เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นพนักงานป่าไม้จับ บ. ในข้อหาเก็บฟืนอันเป็นของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติผิดต่อพระราชบัญญัติ จำเลยเรียกเอาเงินจาก บ. แล้วปล่อยตัวไปอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 149, 157, 337 ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้เรียกและรับเงิน แต่จำเลยยึดไม้ไว้โดย บ. มิได้กระทำผิด เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จำคุกจำเลยที่ 1 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ผู้เดียวอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาฟังว่าจำเลยที่ 1 เรียกเงิน แต่โจทก์ไม่อุทธรณ์ พิพากษายืนจำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ฎีกาข้อ 2 ก. ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้เรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย 2,000บาท ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149, 157 และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 157 นั้น เป็นการไม่ชอบ เพราะเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 148, 149 แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อีกทั้งความผิดตามมาตรา 148, 149 นั้นโจทก์มิได้อุทธรณ์ ผลเท่ากับโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตามมาตรา 148, 149 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษตามมาตรา 157 นอกจากจะต้องยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้จับกุมผู้เสียหายและยึดไม้ฟืนของกลางไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าการเก็บไม้ฟืนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุไม่มีความผิด เพราะมีประกาศของจังหวัดชัยภูมิอนุญาตให้ราษฎรเก็บหาฟืนในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานก่อนที่ผู้เสียหายจะถูกปล่อยตัวจากการจับกุม จำเลยที่ 1 มิได้เรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยที่ 1 ยึดไม้ฟืนของกลางไว้นั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ตามมาตรา 157 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าว โจทก์มิได้อุทธรณ์แต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1มิได้ข่มขืนใจหรือเรียกร้องให้ผู้เสียหายให้เงินแก่จำเลยที่ 1 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามมาตรา 148, 149ด้วยหรือไม่

ครั้นศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำผิดตามมาตรา 148, 149,337 เพราะจำเลยที่ 1 มิได้ข่มขืนใจหรือเรียกร้องให้ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1 แต่การที่จำเลยที่ 1 ยึดไม้ฟืนของกลางไว้โดยไม่คืนให้ผู้เสียหายนั้นเป็นความผิดตามมาตรา 157 ปัญหาจึงมีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจะเป็นความผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยที่ 1 มิได้ข่มขืนใจหรือเรียกร้องให้ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1คงฟังเพียงว่าจำเลยที่ 1 ยึดไม้ฟืนของกลางไว้โดยรู้แล้วว่าการกระทำของผู้เสียหายไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ และลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะยึดไม้ฟืนของกลางดังกล่าวไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามที่ได้ความปรากฏในทางพิจารณาในเรื่องยึดไม้ของกลางไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษแล้วเช่นนี้ ศาลย่อมจะลงโทษจำเลยที่ 1 ให้เกินกว่าที่โจทก์กล่าวในฟ้องมิได้ เหตุนี้ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์”

Share