คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2517

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลย 4 เดือน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นการชำระค่าเช่าโฉนดที่ดิน จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องเพราะเป็นหนี้ที่เกิดจากการเช่าอสังหาริมทรัพย์.ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จึงเป็นฎีกาที่โต้แย้งข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

ย่อยาว

จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 13 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2516

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2512 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจสั่งจ่ายเช็คของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาประดิพัทธ์ 2 ฉบับ ลงวันที่ 30 มีนาคม 2512 คือเช็คเลขที่ ดี.7-466942 และ เลขที่ ดี.7-466943 ฉบับละ 17,500 บาทให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ ต่อมาโจทก์ได้นำเช็คทั้งสองฉบับยื่นต่อธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ธนาคารกรุงเทพจำกัดได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2512 โดยอ้างว่าบัญชีผู้สั่งจ่ายปิดแล้ว ทั้งนี้จำเลยได้ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คนั้น หรือออกเช็คโดยในขณะที่ไม่มีเงินอันจะพึงใช้เงินได้ หรือออกเช็คให้มีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชี อันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็คนั้น เหตุเกิดที่ตำบลสามเสนใน อำเภอพญาไท นครหลวงกรุงเทพธนบุรี วันที่ 18 กรกฎาคม 2512 โจทก์ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแก่จำเลย แต่โจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีเอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 196

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลตามฟ้อง สั่งประทับฟ้องโจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คเป็นประกันที่จำเลยยืมโฉนดของโจทก์ไปเป็นหลักประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารกรุงเทพ จำกัดเพื่อเบิกเงินมาทำการค้าร่วมกับโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันด้วย และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความพิพากษาว่าจำเลยผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุกจำเลยมีกำหนด 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาท 2 ฉบับให้โจทก์ไว้เป็นการชำระค่าเช่าโฉนดที่ดิน เพื่อนำไปประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาประดิพัทธ์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่าบัญชีผู้สั่งจ่ายปิดแล้ว ฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทต้องห้ามมิให้ฟ้องร้อง เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญนั้น จึงเป็นฎีกาที่โต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ฟังมาดังกล่าว เป็นฎีกาต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้

จึงให้ยกฎีกาของจำเลย

Share