คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 ขับรถมาในทางโทโดยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรคือ หยุดรถดูความปลอดภัยตามสัญญาณป้ายจราจรก่อนที่ขับผ่านเข้าไปในสี่แยก จำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถมาในทางเอกก็ต้องชะลอรถลงแล้วดูความปลอดภัยก่อนด้วยเช่นกัน การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปชนบริเวณล้อหลังด้านขวาของรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับมาแม้ชนแล้วรถบรรทุกสิบล้อยังแล่นต่อไปอีกเป็นระยะทางยาวถึง 7 เมตร แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถทัน ไม่มีการชะลอก่อนถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองขับรถด้วยความประมาทผ่านทางร่วมทางแยกไปด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันอย่างแรงในบริเวณสี่แยกจนพลิกคว่ำและชนเสาสัญญาณไฟจราจรของทางราชการเสียหาย จำเลยที่ 2 และเด็กชายวิโรจน์ได้รับอันตรายสาหัส ภายหลังเกิดเหตุจำเลยทั้งสองหลบหนีไปโดยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพเฉพาะข้อหาตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 (ที่ถูกมาตรา 78 วรรคหนึ่ง), 160 วรรคหนึ่งให้ปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 157เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาทจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาดังกล่าวหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว เป็นการจำนนต่อพยานหลักฐาน ไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จึงไม่ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ยกเสีย

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อไปตามถนนมุ่งหน้าจากอำเภอวาปีปทุมไปทางอำเภอสตึก ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกสิบล้อจากอำเภอพุทไธสงมุ่งหน้าไปทางอำเภอเกษตรวิสัยรถทั้งสองคันชนกันบริเวณกลางสี่แยกที่ถนนดังกล่าวตัดกัน คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำโดยประมาทตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทบัณฑิต เกษากิจ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยเบิกความว่า หลังจากรับแจ้งเหตุแล้วไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อพลิกตะแคงคว่ำทับเสาสัญญาณไฟจราจรและพบรถบรรทุกสิบล้อพลิกตะแคงอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยมีร่องรอยการชนที่บริเวณล้อหลังด้านขวาของรถบรรทุกพ่วงสิบแปดล้อ และรอยครูดของล้อรถบนผิวถนนตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีจราจรบริเวณที่เกิดเหตุเส้นทางสายอำเภอพุทไธสงไปอำเภอเกษตรวิสัยเป็นเส้นทางเอก ส่วนบริเวณเส้นทางสายอำเภอวาปีปทุมไปอำเภอสตึกเป็นเส้นทางโทบริเวณก่อนถึงสี่แยกในเส้นทางดังกล่าวมีป้ายจราจร อักษร”หยุด” แสดงไว้ เห็นว่าโดยปกติทั่วไปแล้วผู้ขับรถไม่ว่าจะขับมาจากทางทิศใดเมื่อขับไปถึงบริเวณสี่แยกจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษโดยจะต้องชะลอความเร็วลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีป้ายสัญญาณจราจรบอกให้”หยุด” ก็ต้องหยุดรถก่อนเพื่อดูว่าจะขับต่อไปปลอดภัยหรือไม่ หากเป็นรถที่แล่นมาจากทางเอกถึงแม้จะไม่มีสัญญาณป้ายจราจรบอกให้หยุดก็สมควรที่ผู้ขับจะชะลอรถจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงจะขับต่อไปดังนั้น ในคดีนี้แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรคือ หยุดรถดูความปลอดภัยตามสัญญาณป้ายจราจรก่อนที่จะขับผ่านเข้าไปในสี่แยกจำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถมาในทางเอกก็ต้องชะลอรถลงแล้วดูความปลอดภัยก่อนด้วยเช่นกัน มิใช่ว่าขับรถมาในทางเอกแล้วจะไม่ต้องระมัดระวังความปลอดภัยเมื่อถึงทางแยก การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปชนบริเวณล้อหลังด้านขวาของรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับมา จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยยางของล้อรถบรรทุกสิบล้อบนผิวถนนยาวประมาณ 7 เมตร จากจุดที่ชนไปถึงจุดที่รถคันดังกล่าวพลิกตะแคงซ้าย แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถทัน แม้ชนแล้วรถบรรทุกสิบล้อยังแล่นต่อไปอีกเป็นระยะทางยาวถึง 7 เมตร เมื่อพิจารณาประกอบกับสภาพของผลการถูกชนแล้วเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกสิบล้อมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีการชะลอก่อนถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

อย่างไรก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำโดยประมาทมิใช่เกิดจากเจตนาชั่วร้าย แม้จะเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสแต่ผู้ที่ได้รับอันตรายสาหัสจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2 ในครั้งนี้มีเพียงตัวจำเลยที่ 2 และบุตรชาย ซึ่งนับว่าจำเลยที่ 2 ได้รับผลร้ายจากการกระทำของตนพอสมควรแก่ความผิดแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 กลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้งหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษจำคุกมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ แต่เพื่อให้จำเลยที่ 2 มีความระมัดระวังในการขับรถมากยิ่งขึ้น จึงให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 2 ไว้ด้วย”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้งมีกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2ฟัง ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยที่ 2 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 2 เห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

Share