แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามมาตรา 29 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้บัญญัติถึงการฟ้องคดีที่มีหลายข้อหาด้วยกันไว้2 กรณี คือ คดีที่ฟ้องกันนั้นมีข้อหาหลายข้อด้วยกันและศาลเห็นว่าข้อหาข้อหนึ่งข้อใดเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกันกับข้ออื่น ๆ ศาลอาจมีคำสั่งให้แยกคดีตามที่ศาลเห็นสมควรหรือคู่ความผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องขอกรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่งถ้าคดีที่ฟ้องกันนั้นมีข้อหาหลายข้อและศาลเห็นว่าหากแยกพิจารณาข้อหาทั้งหมดหรือข้อใดข้อหนึ่งออกจากกันแล้วจะทำให้การพิจารณาข้อหาเหล่านั้นสะดวก ก็ให้ศาลมีอำนาจสั่งแยกข้อหาเหล่านั้นทั้งหมด หรือแต่ข้อใดข้อหนึ่งออกพิจารณาต่างหากเป็นเรื่อง ๆ ไปตามที่ศาลเห็นสมควรหรือคู่ความผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องขอ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินการนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้ารวม 94 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้ง มีจำนวนเงินที่ขอให้จำเลยคืนแตกต่างกัน หากต้องแยก พิจารณาตามใบขนสินค้าขาเข้าแต่ละครั้ง เท่ากับต้อง พิจารณาคดีแยกกันถึง 94 คดี ทั้ง ๆ ที่คำฟ้องมีสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่ง ข้อหาเช่นว่านั้นมีลักษณะเป็นอย่างเดียวกันและเป็นคู่ความ รายเดียวกัน การพิจารณาไปคราวเดียวกันย่อม สะดวกรวดเร็วและเป็นประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อีกทั้งข้อหาตามคำฟ้องยังเกี่ยวเนื่องกันหากแยกฟ้องก็สามารถ ขอให้ พิจารณารวมกันได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28โจทก์จึงใช้สิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันได้แต่อย่างไรก็ตาม ตามคำฟ้องของโจทก์จำนวน 94 ข้อซึ่งแต่ละข้อสามารถคิดคำนวณจำนวนเงินที่ขอให้เพิกถอนการประเมินและให้จำเลยคืนเงินแยกต่างหากออกจากกันได้ การที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินรวมกันมาจำนวนเดียวและเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุดครั้งเดียว โดยมิได้แยกทุนทรัพย์แต่ละข้อย่อมประจักษ์ชัดว่าโจทก์เจตนาหลีกเลี่ยงค่าขึ้นศาล กรณีโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามคำฟ้องทุกข้อแยกต่างหากจากกัน แม้โจทก์สามารถฟ้องข้อหาหลายข้อเป็นคดีเดียวกันได้ก็ดีแต่ต่อมาศาลเห็นว่าหากแยกพิจารณาข้อหาเป็นกลุ่มหรือเป็นประเภทออกจากกันแล้วจะทำให้การพิจารณาข้อหาเหล่านั้นสะดวก ศาลก็ยังมี อำนาจสั่งแยกข้อหาดังกล่าวออกพิจารณาต่างหากเป็นเรื่อง ๆไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนพฤษภาคม2531 ถึงเดือนธันวาคม 2534 โจทก์นำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์ประเภทปิโตรเลียมชนิดต่าง ๆ รวม 94 ครั้ง แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่พอใจในราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงเสียภาษีจึงประเมินราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจากใบขนสินค้าขาเข้าทุกครั้งโดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียอากรขาเข้าและเงินเพิ่มอากรขาเข้าเกินกว่าที่โจทก์พึงต้องเสียรวมเป็นเงิน 21,366,268.96 บาท ขอให้เพิกถอนการประเมิน
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากรสินค้าที่โจทก์นำเข้ารวม 94 ใบขนแยกเป็นสินค้าได้ 10 ชนิด วันนำเข้าต่างกัน ราคาที่ใช้ในการประเมินต่างกัน ดังนั้น ข้อหาตามคำฟ้องข้อ 2.1 จึงไม่เกี่ยวกับคำฟ้องข้อ 2.2 ถึง 2.94 โจทก์จะรวมฟ้องจำเลยมาในคดีเดียวกันหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 29 จึงรับคำฟ้องของโจทก์เฉพาะข้อหาตามคำฟ้องข้อ 2.1 ส่วนคำฟ้องข้อ 2.2 ถึง 2.94 ให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ตามข้อหาแต่ละข้อหาผลจากการนี้ทำให้ทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ประกอบคำฟ้องข้อ 2.1 ลดลงเหลือเพียงจำนวน 486,912.29 บาทคิดเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน 12,172.50 บาท จึงคืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์จำนวน 187,827.50 บาท
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ตามมาตรา 29 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้บัญญัติถึงการฟ้องคดีที่มีหลายข้อหาด้วยกันไว้ 2 กรณี กล่าวคือ คดีที่ฟ้องกันนั้นมีข้อหาหลายข้อด้วยกัน และศาลเห็นว่าข้อหาข้อหนึ่งข้อใดเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกันกับข้ออื่น ๆ ศาลอาจมีคำสั่งให้แยกคดีตามที่ศาลเห็นสมควรหรือคู่ความผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องขอกรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่งถ้าคดีที่ฟ้องกันนั้นมีข้อหาหลายข้อและศาลเห็นว่าหากแยกพิจารณาข้อหาทั้งหมดหรือข้อใดข้อหนึ่งออกจากกันแล้วจะทำให้การพิจารณาข้อหาเหล่านั้นสะดวก ก็ให้ศาลมีอำนาจสั่งแยกข้อหาเหล่านั้นทั้งหมดหรือแต่ข้อใดข้อหนึ่งออกพิจารณาต่างหากเป็นเรื่อง ๆ ไปตามที่ศาลเห็นสมควรหรือคู่ความผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องขอพิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินการนำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์ประเภทปิโตรเลียมชนิดต่าง ๆ ตามใบขนสินค้าขาเข้ารวม 94 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งมีจำนวนเงินที่ขอให้จำเลยคืนแตกต่างกัน หากต้องแยกพิจารณาตามใบขนสินค้าขาเข้าแต่ละครั้ง เท่ากับต้องพิจารณาคดีแยกกันถึง 94 คดี ทั้ง ๆ ที่คำฟ้องมีสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นมีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นคู่ความรายเดียวกัน การพิจารณาไปคราวเดียวกันย่อมสะดวกรวดเร็วและเป็นประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอีกทั้งข้อหาตามคำฟ้อง ยังเกี่ยวเนื่องกันหากแยกฟ้องก็สามารถขอให้พิจารณารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 28 โจทก์จึงใช้สิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันได้ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งรับคำฟ้องเฉพาะข้อหาเพียงข้อเดียวแต่อย่างไรก็ตาม ตามคำฟ้องของโจทก์จำนวน 94 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อสามารถคิดคำนวณจำนวนเงินที่ขอให้เพิกถอนการประเมินและให้จำเลยคืนเงินแยกต่างหากออกจากกันได้ การที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินรวมกันมาจำนวนเดียวและเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุดครั้งเดียว โดยมิได้แยกทุนทรัพย์แต่ละข้อย่อมประจักษ์ชัดว่าโจทก์เจตนาหลีกเลี่ยงค่าขึ้นศาล กรณีโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามคำฟ้องทุกข้อแยกต่างหากจากกัน
อนึ่ง แม้โจทก์สามารถฟ้องข้อหาหลายข้อเป็นคดีเดียวกันได้ก็ดี แต่ต่อมาศาลเห็นว่าหากแยกพิจารณาข้อหาเป็นกลุ่มหรือเป็นประเภทออกจากกันแล้ว จะทำให้การพิจารณาข้อหาเหล่านั้นสะดวก ศาลก็ยังมีอำนาจสั่งแยกข้อหาดังกล่าวออกพิจารณาต่างหากเป็นเรื่อง ๆ ไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้
พิพากษาแก้เป็นว่า หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีในข้อใดอีกหรือทุกข้อตามคำฟ้อง ข้อ 2.2 ถึง ข้อ 2.94 ก็ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์แต่ละข้อดังกล่าวแล้วต่อศาลภาษีอากรกลางภายใน 15 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้แล้วให้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์เพิ่มเติมตามที่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลข้อใดหรือทุกข้อไว้ดำเนินการต่อไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลภาษีอากรกลาง