แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาปราณีประนอมกันในศาล โดยโจทก์ยอมยกที่ดินและห้องแถวให้จำเลย ฝ่ายจำเลยยอมแบ่งค่าเช่าห้องแถวให้โจทก์ เมื่อโจทก์ไปทำสัญญากรมธรรม์ที่อำเภอยกที่ดินและห้องแถวให้จำเลยแล้ว จำเลยจะปฏิเสธไม่ยอมแบ่งค่าเช่าให้ตามสัญญาย่อมมิได้ เมื่อไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้สละสิทธิเรื่องค่าเช่านี้
ย่อยาว
เดิมโจทก์จำเลยทำสัญญาปราณีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมยกห้องแถว ๕ ห้องและตึกแถวอีก ๔ ห้องพร้อมทั้งที่ดินให้เป็นสิทธิแก่จำเลย ฝ่ายจำเลยยอมแบ่งค่าเช่าห้องแถวและตึกรายนี้ให้โจทก์ไปจนตลอดชีวิต ศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จไปตามยอมแล้ว โจทก์ได้ไปทำสัญญากรมธรรม์ที่อำเภอยกที่ดินและห้องแถวตึกแถวให้จำเลยแล้ว บัดนี้ จำเลยไม่ยอมแบ่งค่าเช่าให้โจทก์ตามยอม โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาล
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ได้โอนห้องแถวตึกแถวให้จำเลยแล้วเมื่อไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้สละสิทธิในเรื่องค่าเช่านี้อย่างไร จึงบังคับให้จำเลยส่งค่าเช่าตามที่โจทก์ขอ
จำเลยฎีกาอ้างประมวลแพ่งฯ ม.๕๒๕, ๕๒๖ อ้างว่าสัญญากรมธรรม์ทำกันใหม่แล้ว ศาลจะบังคับจำเลยส่งค่าเช่าตามประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.๒๗๑ ไม่ได้
ศาลฎีกาตัดสินว่า คดีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้ศาลยังคับคดีตามคำพิพากษาท้ายยอม เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามโจทก์ก็ชอบที่จะขอบังคับคดีได้ภายใน ๑๐ ปีตาม ม.๒๗๑ ส่วนสัญญากรมธรรม์ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินและห้องแถวที่จำเลยอ้างขึ้นมาว่าไม่มีความพาดพิงถึงสัญญายอม เพราะเมื่อโอนให้เป็นสิทธิค่าเช่าที่ยอมกันไว้ ก็ระงับไปด้วยเหตุไม่ได้จดทะเบียนนั้น เห็นว่าเมื่อคำพิพากษาท้ายยอมมิได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็คงบังคับได้ เมื่อไม่ปรากฎว่าโจทก์สละสิทธิเรื่องค่าเช่านี้ จึงพิพากษาตามศาลล่างทั้ง ๒