คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1167/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำคำเสนอจะทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารต่อโจทก์โดยเสนอราคาค่าก่อสร้างหลังละ 500,000 บาท โจทก์ตกลงและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยมาทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับเจ้าหน้าที่ แต่จำเลยกลับปฏิเสธและแจ้งแก่โจทก์ขอระงับการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง โจทก์จึงว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นก่อสร้างอาคารดังกล่าวในราคาสูงขึ้นกว่าเดิม ดังนี้เป็นกรณีที่โจทก์ตกลงจะจ้างเหมาจำเลยก่อสร้างตามคำเสนอของจำเลย โดยให้จำเลยไปทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอีกชั้นหนึ่งจึงจะมีผลให้ผูกพันกันได้ ต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 366 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อยังมิได้กระทำสัญญาเป็นหนังสือต่อกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะอาศัยเพียงข้อเสนอของจำเลยและการสนองรับของโจทก์ให้เป็นข้อสัญญาจ้างเหมาที่จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ดำเนินการสืบราคาหาผู้รับจ้างทำงานการก่อสร้างอาคารสำนักงานที่ดินสองหลัง จำเลยได้ทำคำเสนอจะทำสัญญาต่อโจทก์ โดยเสนอราคาค่าก่อสร้างหลังละ 500,000 บาท โจทก์ตกลงโดยโจทก์ได้แสดงเจตนาทำคำสนองตอบรับข้อเสนอของจำเลยและแจ้งให้จำเลยไปทำสัญญา จำเลยตอบปฏิเสธไม่ไปทำสัญญากับโจทก์ โจทก์ต้องจ้างผู้อื่นทำการก่อสร้างราคาหลังละ 640,000 บาท สูงขึ้นหลังละ 140,000 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดเพราะจำเลยเป็นผู้ผิดสัญญา ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 280,000 บาท

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทำคำเสนอทำสัญญาต่อโจทก์โดยเสนอราคาก่อสร้างอาคารสำนักงานที่ดินตามฟ้องในราคาหลังละ 500,000 บาท แต่ตามเจตนาของคู่กรณีและกิจการที่โจทก์จำเลยมุ่งจะกระทำต่อกันนั้นจะต้องทำเป็นหนังสืออีกชั้นหนึ่ง เมื่อสัญญาดังกล่าวระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่ได้ทำเป็นหนังสือตามที่ตกลงกันไว้ จึงถือได้ว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกัน หรือสัญญายังไม่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ยกฟ้อง

ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า รูปคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องฟังพยานคู่ความต่อไป จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงที่จะว่าจ้างเหมาให้จำเลยทำสัญญาปลูกสร้างอาคารสำนักงานที่ดินอำเภอเรณูนครและอำเภอคำชะอีจังหวัดนครพนมทั้สองหลังตามข้อเสนอของจำเลย โดยให้จำเลยไปทำหนังสือสัญญาจ้างเหมากับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมอีกชั้นหนึ่ง จึงจะมีผลให้ผูกพันกันตามสัญญาจ้างเหมานั้นได้ เพราะถ้าหากโจทก์ประสงค์จะให้ถือเอาคำเสนอของจำเลยมีผลให้ผูกพันจำเลยได้นับตั้งแต่วันที่โจทก์ทำคำสนองตกลงรับข้อเสนอของจำเลยแจ้งให้จำเลยรับทราบแล้วนั้น โจทก์ก็ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่จะต้องมีหนังสือแจ้งถึงจำเลยให้รีบไปทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับตัวแทนของโจทก์อีก กรณีจึงต้องตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสอง ที่ว่า “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัยท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกัน จนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ” ด้วยเหตุนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะอาศัยแต่เพียงข้อเสนอของจำเลย และการตอบสนองรับของโจทก์เป็นข้อสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่จำเลยมีหน้าที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้องได้

พิพากษายืน

Share