คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1166/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ การที่จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์และยึดถือแทนโจทก์ จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตัวจำเลยเองได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าจำเลยไม่เจตนาจะยึดถือแทนโจทก์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 แม้จำเลยจะได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทราบอันจะถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ดังนั้น เมื่อสำนักงานที่ดินมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และกำหนดวันเวลาให้โจทก์ไปพบเจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบ เมื่อโจทก์และจำเลยได้พบกันในวันดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้บอกให้โจทก์ทราบในวันนั้นแล้วว่าจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์และไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันดังกล่าวซึ่งถือได้ว่าเป็นวันที่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ประมาณ 94 ไร่โดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ ครั้นประมาณปี 2514 โจทก์ให้จำเลยเข้าไปอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ และให้ดูแลรักษาที่ดินของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่เป็นประจำทุกปี ต่อมาต้นปี 2527 โจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินเจ้าหน้าที่ได้ทำการรังวัดและดำเนินการประกาศแจกโฉนดที่ดินแล้วแต่จำเลยไปยื่นคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกโจทก์และจำเลยไปสอบสวนเปรียบเทียบ ผลการเปรียบเทียบตกลงกันไม่ได้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีพิจารณาสั่งให้ออกโฉนดที่ดินแก่โจทก์ โดยแจ้งให้จำเลยไปฟ้องร้องต่อศาลภายในกำหนด 60 วัน แต่จำเลยไม่ได้ไปดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยได้รับหนังสือนั้นแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 600 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินตามฟ้องเป็นป่ารกเนื้อที่ประมาณ100 ไร่ จำเลยได้เข้าทำการก่นถางและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาประมาณ 25 ปีแล้วทั้งได้ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวด้วย ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ใช้สิทธิภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องต่อไป ให้ชำระเงินเป็นค่าเสียหายปีละ 500 บาท นับแต่วันฟ้อง (11 มกราคม 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่ดินพิพาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย จ.2 เนื้อที่ประมาณ 94 ไร่ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายส่วย แสนยุตเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2509 โดยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวกันโดยถูกต้องที่สำนักงานที่ดินอำเภอวารินชำราบ ต่อมาในปี 2527โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยให้ถ้อยคำต่อนายช่างรังวัดที่ไปทำการรังวัดที่ดินพิพาทในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2527 ว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือ และจำเลยลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทว่าไม่รุกล้ำที่ดินของจำเลยไว้ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2529จำเลยไปคัดค้านการออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เป็นข้อแรกตามที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีตัวโจทก์และนายประเสริฐ ศรีธัญรัตน์ นางช่างรังวัด 5 ฝ่ายรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์เบิกความเป็นพยาน โดยตัวโจทก์เบิกความว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายส่วน แสนยุต ในปี 2509 ในราคา2,000 บาท โดยซื้อที่ดินพิพาทที่สำนักงานที่ดินอำเภอวารินชำราบในระยะแรกโจทก์ครอบครองที่ดินด้วยตนเอง ต่อมาปี 2514 จำเลยขายที่ดินซึ่งอยู่คนละฟากทางเกวียนด้านทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์ไป แล้วไม่มีที่อยู่อาศัยและมาขออาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยอาสาดูแลที่ดินของโจทก์ให้โจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยและครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ต่อมาในปี 2527 โจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาท ในการรังวัดที่ดินนั้นจำเลยชี้แนวเขตที่ดินว่าถูกต้อง ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือของสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2530 ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.4แจ้งว่า จำเลยได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และนายประเสริฐเบิกความว่า พยานเป็นผู้รังวัดในการที่โจทก์มายื่นคำขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.2 ในการรังวัดที่ดินนั้นจำเลยและคนของโจทก์ 1 คน เป็นผู้นำชี้ จำเลยรับต่อพยานว่าที่ดินที่รังวัดถูกต้องแล้ว พยานได้ทำบันทึกไว้ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1 ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยเป็นผู้เข้าไปจับจองหักร้างถางพงที่ดินพิพาทเองตั้งแต่ปี 2500 โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งสอบถามจำเลยว่า ที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลยซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตแล้วได้ให้จำเลยลงลายมือชื่อรับรองในเอกสารจำเลยลงลายมือชื่อให้ไว้ ต่อมาอีกประมาณ 2 ปี จำเลยจึงทราบว่าการรังวัดสอบเขตของโจทก์ดังกล่าวเป็นการรังวัดเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยจึงไปคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 โดยจำเลยไม่มีหลักฐานใด ๆ ไปแสดงในการคัดค้านดังกล่าว ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าจำเลยได้ให้ถ้อยคำต่อนายช่างรังวัดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2527 ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1 ว่า ตามที่โจทก์ได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินตามคำขอลงวันที่ 13 มกราคม 2527 นั้น ช่างรังวัดได้ออกมาทำการรังวัดให้โจทก์ตามระเบียบแล้ว จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านทิศเหนือ รู้จักสนิทสนมกับโจทก์เป็นอย่างดี ทราบประวัติความเป็นมาของที่ดินแปลงที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินเป็นอย่างดี เดิมที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินของนายหนู สมสุขนายหนู สมสุข ขายให้แก่นายส่วย แสนยุตและนายส่วย แสนยุตขายให้แก่โจทก์อีกทอดหนึ่ง ที่ดินของโจทก์ติดต่อกับที่ดินของจำเลยตาม น.ส.3 แจ้งไว้ว่าวัดป่านั้นเป็นป่าละเมาะในที่ดินของจำเลยซึ่งมีอยู่ทั่วไป ไม่ใช่ป่าสงวนหรือป่าเตรียมการสงวนแต่อย่างใด ที่ดินของจำเลยได้ทำประโยชน์เป็นที่ทำนาทำประโยชน์เต็มแล้วทั้งแปลงโดยมีหลักฐาน น.ส.3 ก. เลขที่ดิน 30 เป็นหลักฐานตามที่ช่างรังวัดให้โจทก์ปักหลักเขตที่ดินและทำการรังวัดนั้นถูกต้องแล้วไม่รุกล้ำที่ดินของจำเลยแต่อย่างใด และจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้ถ้อยคำไว้ในบันทึกถ้อยคำดังกล่าว เห็นว่าถ้อยคำที่จำเลยให้ต่อช่างรังวัดตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1ดังกล่าวนั้นเจือสมพยานหลักฐานของโจทก์ให้เชื่อได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เพราะหากที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ จำเลยก็ต้องคัดค้านการที่โจทก์ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทในขณะที่นายช่างรังวัดไปทำการรังวัดที่ดินพิพาทนั้นแล้ว มิใช่รับรองว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ขอรังวัดเป็นที่ดินของโจทก์และการรังวัดนั้นไม่รุกล้ำที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของที่ดินที่โจทก์ขอรังวัดตามที่จำเลยได้ให้ถ้อยคำไว้ในสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.1 นั้น ที่จำเลยเบิกความว่าต่อมาอีกประมาณ 2 ปี จำเลยจึงทราบว่าการรังวัดสอบเขตของโจทก์ดังกล่าวเป็นการรังวัดเพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยจึงไปคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีนั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือได้ นอกจากนี้ที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้เข้าไปจับจองหักร้างถางพงที่ดินพิพาทเองตั้งแต่ปี 2500 โดยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยมีที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินพิพาทกับที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับที่ดินพิพาททางด้านทิศเหนือที่ดินแปลงดังกล่าวต่อมามีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และจำเลยได้ขายให้แก่นางบัว พุงพู นั้น ได้ความตามคำเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านของนายจันทร์ ราชเจริญ และนายอุดม เต็มสุวรรณ พยานจำเลยว่า ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านในท้องที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ทั้งหมู่บ้านในปี 2521 แต่กลับไม่ปรากฏว่าจำเลยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเข้าไปจับจองหักร้างถางพงเองตั้งแต่ปี 2500การที่จำเลยไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทเช่นนี้ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ อันเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์มิใช่ยึดถือในฐานะเจ้าของ จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแทนโจทก์เป็นการยึดถือเพื่อตัวจำเลยได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่า จำเลยไม่เจตนาจะยึดถือแทนโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 และแม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบว่าจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเช่นนั้น อันจะถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าจำเลยไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยมิได้นำสืบว่าจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทนั้นเมื่อไร จึงฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่าสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีมีหนังสือลงวันที่ 12 มิถุนายน 2530 เอกสารหมาย จ.4 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์และให้โจทก์ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบในวันที่ 23 มิถุนายน 2530 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี โจทก์และจำเลยไปสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีในวันที่ 23 มิถุนายน 2530 แต่ไม่ได้มีการเปรียบเทียบเพราะเจ้าของที่ดินอีกแปลงหนึ่งไม่ได้มา เมื่อโจทก์และจำเลยได้พบกันที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีในวันที่ 23 มิถุนายน 2530เช่นนี้ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยได้บอกให้โจทก์ทราบในวันนั้นว่า จำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวแก่โจทก์ในวันนั้นว่าจำเลยไม่เจตนาที่จะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป โดยจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2531 ยังไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ 23มิถุนายน 2530 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันที่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องต่อไปนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share