คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาจากนายฟุ้งเจ้าของเดิมตั้งแต่ปี 2515 เพิ่งจะมาปลูกบ้านในที่ดินและใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งเมื่อนับเวลาที่โจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางพิพาทเมื่อปี 2528 จะยังไม่ถึง 10 ปีก็ตามแต่นายฟุ้งและครอบครัวได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515 ตลอดมาการใช้ทางพิพาทของนายฟุ้งและครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านจึงเป็นการใช้แทนโจทก์เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่นายฟุ้งและครอบครัวใช้ทางพิพาทแทนโจทก์ในปี 2515 ตลอดมา จนกระทั่งโจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองในปี 2519 ต่อ ๆ มา จนจำเลยปิดกั้นทางพิพาทก็เป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทของจำเลยเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะติดต่อกันนาน ๑๔ ปีแล้ว จึงได้สิทธิภาระจำยอมในทางพิพาท ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทตามแผนที่สังเขปเป็นทางภาระจำยอม ห้ามจำเลยและบริวารปิดกั้นหรือกระทำการใดอันเป็นเหตุให้สัญจรไปมาไม่ได้ ให้จำเลยกลบร่องน้ำตามแผนที่สังเขปให้อยู่ในสภาพเดิม และรื้อถอนรั้วไม้และต้นไม้ที่ปลูกบนทางพิพาทออกไปให้หมดสิ้น และให้จดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมในที่ดินของจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์เพียงแต่ขออาศัยเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณะเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าเปิดทางภารจำยอมในที่ดินของจำเลยทั้งห้าตามแผนที่พิพาท ให้จำเลยกลบร่องน้ำและรื้อถอนรั้วและต้นไม้ออกจากทางพิพาท ให้จำเลยไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าทางเดินพิพาทถูกใช้เป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นมา ซึ่งนายประยงค์กับนายฟุ้งบิดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘คนก่อนก็คงจะใช้ทางเดินพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะ ตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นมาเช่นกัน ดังนั้น แม้โจทก์จะเพิ่งปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘ เมื่อปลายปี ๒๕๑๙ ซึ่งเชื่อได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองเดินออกสู่ถนนทางสาธารณะตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๒๘ รวมเวลาที่โจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองไม่ถึง ๑๐ ปีก็ตาม แต่โจทก์ก็รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘ มาจากนายฟุ้งผู้เป็นเจ้าของเดิมมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ ซึ่งนายฟุ้งและครอบครัวได้ใช้ทางเดินพิพาทเดินออกถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ ตลอดมา การใช้ทางเดินพิพาทของนายฟุ้งและครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินจึงเป็นการใช้แทนโจทก์ เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่นายฟุ้งและครอบครัวใช้ทางเดินพิพาทแทนโจทก์ในปี ๒๕๑๕ ตลอดมา จนกระทั่งโจทก์ใช้ทางเดินพิพาทด้วยตนเองในปี ๒๕๑๙ ต่อ ๆ มาจนจำเลยปิดกั้นทางเดินพิพาทเมื่อเดือนเมษายน๒๕๒๘ ก็เป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ทางเดินพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘ของโจทก์
พิพากษายืน.

Share