คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11527/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลปรับบทลงโทษและกำหนดโทษใหม่ โดยอ้างว่าเมื่อคดีถึงที่สุดและระหว่างที่จำเลยที่ 3 ต้องโทษมี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 65 และมาตรา 66 กฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่าศาลจะปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ได้หรือไม่ เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 3 มีเฮโรอีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใดยุติไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 3 จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในคำร้องขอกำหนดโทษใหม่อีกไม่ได้
เฮโรอีนของกลางที่จำเลยที่ 3 ร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายโดยการแบ่งบรรจุ คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 130.4 กรัม เฮโรอีนของกลางจึงมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป ตามมาตรา 15 วรรคสาม (2) ที่แก้ไขใหม่ การกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 ไม่ต้องด้วยบทกำหนดโทษในมาตรา 65 วรรคสามและวรรคสี่ ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องด้วยบทกำหนดโทษมาตรา 65 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต ส่วนมาตรา 65 วรรคสอง เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยที่ 3 กระทำความผิด มีระวางโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกัน โทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 คำร้องของจำเลยที่ 3 ไม่ต้องด้วย ป.อ. มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยอ่านให้จำเลยที่ 3 ฟัง เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2541 ว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง
วันที่ 20 เมษายน 2552 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้อง ขอให้ปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของจำเลยที่ 3 จึงมีเพียงว่า ศาลจะปรับบท ลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ได้หรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และจำเลยที่ 3 ร่วมกันผลิตเฮโรอีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใดเพื่อจำหน่าย ยุติไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 3 จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในคำร้องขอกำหนดโทษใหม่ต่อไปอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า มีเหตุที่จะปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 213.3 กรัม และร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายโดยการแบ่งบรรจุในหลอดพลาสติก 120 หลอด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 130.4 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)คงจำคุกตลอดชีวิต หลังจากคดีถึงที่สุดแล้วได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 65 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน เห็นว่า มาตรา 65 วรรคสามและวรรคสี่ ที่แก้ไขใหม่ บัญญัติว่า ” ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการผลิตโดยการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุและมีปริมาณคำนวนเป็นสารบริสุทธิ์ หรือมีจำนวนหน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่ถึงปริมาณที่กำหนดตามมาตรา 15 วรรคสาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงสิบห้าปี หรือปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสาม เป็นการกระทำเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท ” เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าเฮโรอีนของกลางที่จำเลยที่ 3 ร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายโดยการแบ่งบรรจุในหลอดพลาสติก คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 130.4 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ เฮโรอีนของกลางที่จำเลยที่ 3 ร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายโดยการแบ่งบรรจุจึงมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป ตามมาตรา 15 วรรคสาม (2) ที่แก้ไขใหม่ การกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องด้วยบทกำหนดโทษในมาตรา 65 วรรคสามและวรรคสี่ ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องด้วยบทกำหนดโทษมาตรา 65 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต ส่วนมาตรา 65 วรรคสอง เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยที่ 3 กระทำความผิด ก็มีระวางโทษประหารชีวิตเช่นกัน ดังนี้ โทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 กรณีตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share