แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความของบทบัญญัติมาตรา 340 ตรี แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเพิ่มเติมโดยข้อ 15 ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 นั้น แสดงความมุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะตัวผู้ซึ่งต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษนี้เท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักขึ้นเช่นนี้ทุกคนเสมอไป จำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ ขณะทำการปล้น จำเลยที่ 3 ได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ด้วย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 340 ตรี ต้องระวางโทษหนักกว่าโทษตามมาตรา 340 วรรคสี่อีกกึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นไม่ปรากฏว่าเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคสี่เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีอาวุธปืนติดตัวไปลักโค ๑๗ ตัวของนายโพลก จารุพงษ์ และนายอับดุลรามาน ปาทาน ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายรักเกียรติ ประเสริฐสิทธิ์ กับพวกไป ในการลักทรัพย์นี้จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญว่าในทันใดจะยิงฆ่านายรักเกียรติ และใช้อาวุธปืนยิงขู่นายรักเกียรติหลายนัด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔, ๑๕ และขอให้ส่งคืนโค ๑๐ ตัวของกลาง กับใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรคสี่ ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๑๘ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกไว้คนละ ๑๒ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องโจทก์ โคของกลาง ๑๐ ตัวให้คืนเจ้าของ ส่วนนอกนั้นโจทก์สืบไม่สมจึงไม่คืนให้
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑, ที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๕ และให้ใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยที่ ๑, ที่ ๓ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ด้วย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๓
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ เป็นคนร้ายรายนี้ โดยจำเลยที่ ๓ เป็นคนร้ายที่ยิงปืนในขณะที่ปล้นโค จำเลยทั้งสองกับพวกปล้นโคของผู้เสียหายไปรวม ๑๗ ตัว เจ้าพนักงานตำรวจจับตัวจำเลยได้และได้โค ๑๐ ตัวของผู้เสียหายเป็นของกลาง ผู้เสียหายจึงไม่ได้โคคืนอีก ๗ ตัว คิดเป็นราคา ๒๔,๕๐๐ บาท
สำหรับปัญหาเรื่องการปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสี่ที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ บัญญัติว่า “ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดย……….ฯลฯ………….ใช้ปืนยิง………..ฯลฯ……….ผู้กระทำต้องระวางโทษ………..ฯลฯ……….” เมื่อการปล้นทรัพย์รายนี้คนร้ายได้ใช้ปืนยิงด้วย ผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทุกคนย่อมมีความผิดตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสี่ แต่การปล้นโดยใช้ปืนยิงนี้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรีซึ่งเพิ่มเติมโดยข้อ ๑๕ ของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับเดียวกันยังบัญญัติไว้อีกว่า “ผู้ใดกระทำผิดตามมาตรา ๓๓๙ มาตรา ๓๓๙ ทวิ มาตรา ๓๔๐ หรือมาตรา ๓๔๐ ทวิ…….ฯลฯ…….โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด….ฯลฯ……ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง ” ข้อความของบทบัญญัติดังกล่าวแสดงความมุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะตัวผู้ซึ่งต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษนี้เท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักขึ้นเช่นนี้ทุกคนเสมอไป เฉพาะคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า คนร้ายที่ยิงปืนคือจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงมีความผิดตามมาตรา ๓๔๐ ตรี ต้องระวางโทษหนักกว่าโทษตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสี่อีกกึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ ๑ นั้นไม่ปรากฏว่าเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสี่เท่านั้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสี่ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ วางโทษจำคุก ๑๘ ปี จำเลยที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรีที่เพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ข้อ ๑๕ วางโทษจำคุก ๒๗ ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ ๑ สิบสองปี จำคุกจำเลยที่ ๓ สิบแปดปี โคของกลาง ๑๐ ตัวให้คืนเจ้าของ และให้จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๓ คืนโคที่ยังไม่ได้คืนอีก ๗ ตัว หรือใช้ราคา ๒๔,๕๐๐ บาทแก่เจ้าของด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.