แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่ามารดาโจทก์ขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 เพราะถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเท่ากับเป็นการอ้างว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินนั้นเกิดจากกลฉ้อฉลของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีผลทำให้นิติกรรมการซื้อขายที่ดินเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 121 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเกิน 10 ปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้นแล้ว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้เพิกถอนการโอนได้ตาม มาตรา 143.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนางสมบูรณ์เจริญพิบูลย์ ผู้ตาย ผู้ตายเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ตั้งอยู่หมู่ที่3 ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี เนื้อที่ 20 ไร่เศษ เมื่อประมาณ10 กว่าปีมาแล้ว เจ้าหน้าที่กรมชลประทานจำเลยที่ 1 ได้ประกาศให้ราษฎรในตำบลของโจทก์ทราบว่าการสร้างเขื่อนชลประทานและเขื่อนเก็บน้ำหลายแห่งในจังหวัดกาญจนบุรีจะทำให้น้ำท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองในราษฎรขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 ถ้าไม่ขายน้ำจะท่วม และไม่ได้รับค่าตอบแทน โดยให้กำนันมาตามมารดาโจทก์กับโจทก์ไปตกลงขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมามารดาโจทก์ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ดัวยความจำใจเพราะเชื่อคำประกาศของจำเลยที่ 1 ขณะนี้เขื่อนทั้งหลายสร้างเสร็จแล้วไม่ปรากฏว่าน้ำท่วมถึงที่ดินมารดาโจทก์ โจทก์และทายาททุกคนเพิ่งทราบแน่นอนว่าน้ำไม่ท่วมดังประกาศของจำเลยที่ 1 เมื่อเดือนตุลาคม 2529 ก่อนฟ้องมีกฎหมายกำหนดให้ที่ดินของรัฐทั้งหมดอยู่ในความดูแลรักษาของกระทรวงการคลังจำเลยที่ 2 จึงมีผลให้ที่ดินพิพาทตกอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และทายาทของมารดาโจทก์ ให้ส่ง น.ส.3 คืนให้โจทก์และรับเงินจากโจทก์คืนไปพร้อมดอกเบี้ย ถ้าไม่ยอมจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาการโอนที่ดินแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองเดียวกันว่า นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สมบูรณ์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรม โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2530พ้นกำหนด 10 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและตัดฟ้องว่าเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2513 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์2530 เกิน 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อ้างมูลเหตุในฟ้องมาว่า จำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงมารดาโจทก์ว่าเมื่อจำเลยที่ 1 สร้างเขื่อนชลประทานและเขื่อนเก็บน้ำหลายแห่งในจังหวัดกาญจนบุรีแล้วน้ำจะท่วมที่ดินของมารดาโจทก์ ให้มารดาโจทก์ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ทำให้มารดาโจทก์หลงเชื่อ จึงตกลงทำนิติกรรมขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 ซึ่งความจริงเมื่อจำเลยที่ 1 สร้างเขื่อนเสร็จแล้ว น้ำไม่ท่วมที่ดินของมารดาโจทก์ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินที่มารดาโจทก์ขายให้แก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ เท่ากับเป็นการอ้างว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินนั้นเกิดจากกลฉ้อฉลของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะมีผลทำให้นิติกรรมการซื้อขายที่ดินเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 ที่โจทก์ฎีกาว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะเพราะมารดาโจทก์ไม่สมัครใจทำนิติกรรมดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อเกิน 10 ปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้นแล้ว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้เพิกถอนการโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143…”
พิพากษายืน.