แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่ากรรมที่จำเลยกระทำเป็นความผิดฐานใด อันย่อมแล้วแต่ข้อเท็จจริงนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่มีปัญหากฏหมาย
ย่อยาว
ได้ความว่าลูกจ้างของเจ้าทรัพย์นำกระบือ ๗ ตัวไปเลี้ยงตั้งแต่เวลา ๗ น. พอเวลา ๑๐.๐๐ น. เห็นกระบือหายไปตัวหนึ่ง จึงชวนพวกออกติดตามไปพร้อมกับตำรวจ พบกระบืออยู่ที่บ้านนายชุ่มจำเลยกำลังกินฟางอยู่ ห่างโรงนายชุ่ม ๖-๗ วา พวกเจ้าทรัพย์ล้อมจับกระบือๆ ตื่นวิ่งหนีไปเข้าคอกนายทองใบ พวกเจ้าทรัพย์จึงจับจำเลยมา โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร.
ศาลชั้นต้นฟังว่ากระบือของเจ้าทรัพย์ซื้อมาใหม่ ขี้ตื่นและไม่ได้สนตะพายพลัดฝูงไปใครจะเข้าไปจับก็ได้ หากจำเลยจะได้จับกระบือที่พลัดฝูงไว้จริง ก็ไม่ผิดตามโจทก์ฟ้อง ควรจะเป็นผิดฐานยักยอกหรือเก็บของตกของหาย แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะลงโทษในข้อนั้น พิพากษายกฟ้องโจทก์.
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.
โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แต่ศาลล่างวินิจฉัยว่าเป็นความผิดฐานยักยอกเก็บของตกของหายคดีเป็นปัญหาข้อกฏหมายว่ากรรมที่จำเลยกระทำนั้นเป็นความผิดฐานใด.
ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีจะเป็นผิดฐานลักทรัพย์, รับของโจรหรือยักยอกเก็บของตกย่อมแล้วแต่ข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่ากระบือของเจ้าทรัพย์เป็นกระบือเพิ่งซื้อมาใหม่ขี้ตื่น ไม่เข้าฝูงและไม่ได้สนตะพายเพริดจากที่เลี้ยงเข้าไปในฝูงกระบืออื่น ทำลายต้นไม้ของผู้อื่น มีผู้ไล่กระบือนั้น กระบือจึงไปทางบ้านจำเลย นายสละจำเลยจับไว้ได้ ตามข้อเท็จจริงได้ความดังนี้ คดีไม่มีปัญหาข้อกฏหมาย เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริง จึงพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์.