แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ชนะคดีจำเลยในเรื่องจำเลยผิดสัญญาได้เข้าทำการก่อสร้างอาคารเสียเองในที่ดินที่ตกลงมอบสิทธิการก่อสร้างให้ โจทก์แล้วตามสัญญา โดยศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยได้ทำลงในที่ดินนั้นออกไปเสียและมอบที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาคดีถึงที่สุด และศาลได้ออกคำบังคับตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยจงใจขัดขืนคำบังคับของศาลโดยไม่ได้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป ขอให้ออกหมายจับและกักขังจำเลยจนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับ ตามทางไต่สวนได้ความว่าตึกแถวที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไปนั้น มีผู้เข้าอยู่อาศัยโดยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างไปแล้วเป็นส่วนมาก ดังนี้ ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ จะบังคับจำเลยในทางนี้ไม่ได้ การจะจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติตามคำบังคับได้ แต่ไม่ปฏิบัติ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะบังคับจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำบังคับที่โจทก์ขอมานั้นได้จำต้องยกคำร้องโจทก์โดยโจทก์ชอบที่จะดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 ได้
ย่อยาว
เดิมโจทก์ชนะความจำเลยในเรื่องจำเลยผิดสัญญาได้เข้าทำการก่อสร้างอาคารเสียเองในที่ดินที่ตกลงมอบสิทธิการก่อสร้างให้โจทก์แล้วตามสัญญา โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยได้ทำลงในที่ดินนั้นออกไปเสีย และมอบที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ทำการก่อสร้างตึกแถวจำนวน ๕๘ คูหา และตลาดสดลงในที่ดินที่จำเลยมอบสิทธิการก่อสร้างให้โจทก์ ยังมิได้ทำการรื้อถอนออกไป เป็นการจงใจขัดขืนคำบังคับของศาล ขอให้ออกหมายจับจำเลยมากักขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับ
จำเลยยื่นคำแถลงว่าจำเลยมิได้ก่อสร้างตึกแถวและตลาดสดอาคารที่ปลูกสร้างขึ้นนั้นไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลย การก่อสร้างของจำเลยได้รื้อถอนออกไปหมดแล้ว มิได้ขัดขืนคำบังคับแต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเชื่อว่า ตึกแถวทั้งหมดและตลาดสดนายแก้วกับนายโชติเป็นผู้ก่อสร้างตามสิทธิที่มีอยู่ตามสัญญา จำเลยมิใช่เป็นผู้ทำลงไว้ สิ่งปลูกสร้างส่วนหนึ่งในเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่เศษ จำเลยหรือนางครอบได้ขายที่ดินส่วนนี้ให้นายแก้วกับนายโชติไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งจำนวน ๒๓ ห้องยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยมีสิทธิให้เช่าโดยผู้เช่าต้องเสียค่าก่อสร้างให้แก่นายแก้วและนายโชติ การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของผู้เช่าและสิทธิของนายแก้วกับนายโชติ เท่ากับบังคับบุคคลภายนอกคดีซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา เป็นกรณีที่ไม่อาจกระทำได้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยขัดขืนคำบังคับ มีคำสั่งให้ยกคำร้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่าตึกแถวที่ปลูกลงในที่ดินส่วนที่จำเลยขายให้แก่นายแก้วนายโชติไปแล้ว โจทก์ไม่ติดใจบังคับ แต่ตึกแถว ๒๓ คูหาซึ่งปลูกในที่ดินโฉนดที่ ๑๔๙๕ จำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวยังไม่ได้ขายโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไป และมอบที่ดินส่วนนี้ให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้จำเลยรื้อถอนอาคาร ๒๓ คูหาออกไปจากที่ดิน
จำเลยฎีกาขอให้ยกคำร้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ตึกแถว ๒๓ คูหาที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไป ได้ปลูกสร้างในที่ดินโฉนดที่ ๑๔๙๕ ซึ่งจำเลยได้ทำสัญญามอบสิทธิการก่อสร้างให้แก่โจทก์และศาลได้พิพากษาคดีเป็นที่สุดให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินนั้น จำเลยได้ทราบคำบังคับแล้ว ดังนี้ จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๖ด้วยการส่งมอบที่ดินให้โจทก์โดยปราศจากสิ่งปลูกสร้างใด ๆ จำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกหรือเหตุอื่นใดอันมิใช่อำนาจพิเศษมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำบังคับหาได้ไม่ หลักฐานในคดีปรากฏชัดว่าจำเลยได้รู้เห็นยินยอมเชิดนางครอบภรรยาจำเลยเอาที่พิพาทไปให้นายแก้ว รัชตสวรรค์ กับนายโชติ รุ่งเรืองเนาวรัตน์ ปลูกสร้างอาคารเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นจากการถูกบังคับเมื่อจำเลยแพ้คดี โดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มพูนขึ้น ทั้งที่โจทก์ได้ขอให้ศาลสั่งห้ามชั่วคราวในระหว่างคดีแล้ว แต่จำเลยก็ยืมมือบุคคลภายนอกเข้ามาจัดทำเป็นการจงใจขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ การที่โจทก์ขอบังคับคดีให้ศาลออกหมายจับและกักขังจำเลยก็เพื่อให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ แม้โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลสั่งรื้อตึกแถว ๒๓ คูหาออกไป ก็เป็นการขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับนั้นเอง แต่แทนที่ศาลอุทธรณ์จะพิจารณาและพิพากษาในประเด็นที่ว่าจำเลยจงใจขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำบังคับอันเป็นเหตุให้ออกหมายจับจำเลยมากักขังตามคำร้องของโจทก์ได้หรือไม่ศาลอุทธรณ์กลับพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตึกแถว ๒๓ คูหาซึ่งปลูกตรงบริเวณหน้าโรงไม้อัดออกไป จึงไม่ตรงกับคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ออกหมายจับโดยอ้างว่าจำเลยจงใจขัดขืนคำบังคับของศาล ศาลฎีกาเห็นว่าตึกแถว ๒๓ คูหาที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไปนั้นตามทางไต่สวนของศาลชั้นต้น ได้ความว่ามีผู้เข้าอยู่อาศัยโดยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างไปแล้วเป็นส่วนมาก ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ จะบังคับจำเลยในทางนี้ไม่ได้ หากจะจับกุมและกักขังจำเลยให้ปฏิบัติตามคำบังคับ กรณีแห่งคดีนี้ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่สามารถจะปฏิบัติตามได้เช่นเดียวกัน การจะจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติตามคำบังคับได้แต่ไม่ปฏิบัติ ฉะนั้นการจะจับกุมและกักขังจำเลยก็ไม่มีผลที่จะให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทนี้ได้ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะบังคับจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำบังคับที่โจทก์ขอมานั้นได้ จำต้องยกคำร้องโจทก์ โดยโจทก์ชอบที่จะดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๘ ได้
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องโจทก์