คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11440/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีเสพยาเสพติดให้โทษในขณะเป็นผู้ขับรถตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มีผลใช้บังคับแล้วและเมื่อคดีนี้ถือว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดคดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกาก่อนตามบทบัญญัติมาตรา 18 วรรคหนึ่ง และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นให้โจทก์ผู้ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัยตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 และเพิกถอนหรือพักการใช้ใบอนุญาตขับขี่รถของจำเลยมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ (ที่ถูก มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง), 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน ให้พักใช้ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลเลขที่ 50006375 ออกโดยนายทะเบียนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาของจำเลยมีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ต่อครั้งภายในเวลา 1 ปี ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีเสพยาเสพติดให้โทษในขณะเป็นผู้ขับรถตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มีผลใช้บังคับแล้วและเมื่อคดีนี้ถือว่าเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดคดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกาก่อนตามบทบัญญัติมาตรา 18 วรรคหนึ่ง และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นให้โจทก์ผู้ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัยตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share