คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกของโจทก์ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกัน ต่อมาจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ รับว่าเป็นหนี้เงินกู้กับหนี้ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค และจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย แต่การที่จำเลยต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นสมาชิกผู้ถือหุ้นของโจทก์ซึ่งในแต่ละปีจำเลยมีสิทธิได้รับเงินปันผลจากโจทก์หลายแสนบาท ขอให้นำเงินค่าหุ้นและเงินปันผลของจำเลยไปหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ที่โจทก์เรียกร้องนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้ซึ่งสิทธิในเงินลงหุ้นและเงินปันผลที่จำเลยจะพึงได้รับจากโจทก์และเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับเงินที่จำเลยลงหุ้นกับโจทก์เมื่อฟ้องเดิมของโจทก์มีมูลหนี้มาจากการฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ได้กู้ยืมเงินระยะสั้นไปจากโจทก์และได้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้แก่โจทก์ แต่เมื่อครบกำหนดชำระหนี้ จำเลยไม่ชำระ ต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์โดยยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้ 198,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี และค่าปรับอีกร้อยละ 3 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท กับหนี้ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน36,586 บาท พร้อมค่าปรับอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 35,004 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ หลังจากทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้ว จำเลยผิดนัดไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 232,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี และค่าปรับอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท กับค่าปรับอัตราร้อยละ 15ต่อปี ของต้นเงิน 35,004 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแทน หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นและมีสิทธิได้รับเงินปันผลจำนวนหลายแสนบาทซึ่งมากกว่าหนี้ที่โจทก์เรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์นำหุ้น ตลอดจนเงินปันผลดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้แล้วจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 19 หน้า 52 สารบบเลขที่ 394/105 ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แก่จำเลย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นสมาชิกของโจทก์ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และนำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 19 หน้า 52สารบบเลขที่ 394/105 ตำบลกระตีบ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม มาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ของตนไว้ และจำเลยไม่ชำระหนี้เงินกู้ ต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ไว้โดยยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้กับหนี้ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคและจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนการที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยเป็นสมาชิกของโจทก์โดยเป็นผู้ถือหุ้นและในแต่ละปีจำเลยมีสิทธิได้รับเงินปันผลจากโจทก์จำนวนหลายแสนบาท ขอให้นำเงินค่าหุ้นและเงินปันผลของจำเลยไปหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ที่โจทก์เรียกร้องอันเป็นการยกข้อต่อสู้ซึ่งสิทธิในเงินลงหุ้นและเงินปันผลที่จำเลยจะพึงได้รับจากโจทก์เช่นนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินที่จำเลยลงหุ้นไว้กับโจทก์ ส่วนฟ้องของโจทก์มีมูลหนี้จากการฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ ดังนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share