คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์แต่งงานอยู่กินกันกับจำเลยหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างอยู่ด้วยกันเกิดบุตร 1 คน จำเลยได้แจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่า เด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยและใช้ชื่อบุคคลอื่นว่าเป็นบิดาของเด็ก ดังนี้ โจทก์ผู้เป็นสามีจะฟ้องจำเลยภริยานั้น ว่าบังอาจแจ้งความเท็จ เพื่อให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจแจ้งความต่อนายทะเบียนแขวงบางกอกน้อยว่า นายวิฑูรเป็นบิดาของเด็กชาย (ยังไม่มีชื่อ)กำพลพราว ซึ่งจำเลยได้ให้นายแพทย์ศิริราชทำการคลอดให้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงโจทก์เป็นบิดาของเด็กชายคนนั้น โดยโจทก์กับจำเลยได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยประมาณ 2-3 ปี แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137

ศาลชั้นต้นฟังว่า คดีพอพิพากษาได้แล้ว ไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องต่อไป แล้ววินิจฉัยว่า

1. ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายความเสียหาย ความเสียหายหากมีก็มิอาจเห็นได้ง่ายฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม

2. โจทก์ยังไม่มีทางที่จะอ้างอิงกฎหมายได้เลยว่าเป็นบิดาของเด็ก จึงไม่มีมูลอ้างว่าได้รับความเสียหาย และโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องกล่าวว่าโจทก์จำเลยแต่งงานอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส การแต่งงานของโจทก์จำเลยเป็นเวลาหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว เมื่อมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยก็มิใช่ภริยาโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรที่เกิดจากจำเลยจึงมิใช่บุตรของโจทก์อันชอบด้วยกฎหมายดุจกัน การที่จำเลยไปแจ้งความต่อนายทะเบียนว่าบุตรของจำเลยนายวิฑูรเป็นบิดานั้น โจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีได้ พิพากษายืน

Share