คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีฟ้องขับไล่ออกจากห้องเช่าเดือนละ 12 บาทเป็นคดีมโนสาเร่อันต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 เมื่อฟ้องอุทธรณ์ส่วนมากเป็นข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่ง ” รับอุทธรณ์” เฉยๆ ไม่มีข้อความแสดงว่ารับรองว่าให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้น ศาลอุทธรณ์หาจำต้องรับวินิจฉัยให้ไม่
อันว่าสิทธิรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม มาตรา 248นั้นต้องเป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงต้องห้ามมาแต่ชั้นอุทธรณ์แล้วจะกลับมารับรองเพื่อรื้อฟื้นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยใหม่หาได้ไม่
การใช้ห้องเช่าทำเป็นร้านดัดผมเป็นการใช้เพื่อทำการค้าหาใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไม่

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าหมดอายุ โจทก์ได้บอกกล่าวเลิกการเช่าแล้วทั้งจำเลยเช่าเพื่อการค้า ขอให้ขับไล่และชำระค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าเช่าเพื่ออยู่อาศัยโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวเลิกการเช่าตามกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารและให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคดีมโนสาเร่ ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยได้แต่ปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น คือห้องพิพาทเป็นเคหะหรือไม่แล้วพิพากษายืนแต่มีความเห็นแย้งรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้และเห็นควรยกฟ้องโจทก์กับกล่าวด้วยว่ารับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะมีความเห็นแย้งและคำรับรอง

ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าอันมีอัตราค่าเช่าเดือนละ 12 บาทเป็นคดีมโนสาเร่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 189(1) ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 นอกจากจะต้องด้วยข้อยกเว้นดังที่ระบุไว้ อุทธรณ์ของจำเลยส่วนมากยกเหตุผลโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยก็ตาม ก็เพียงแต่สั่งว่า “รับอุทธรณ์” เฉย ๆ เท่านั้นมิได้มีข้อความอันใดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการรับรองให้อุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วยเลย กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นประการใดอันจะกระทำให้ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีเรื่องนี้ขึ้นมาสู่ความวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นการชอบแล้วและเมื่อคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วจะมีความเห็นแย้งในปัญหาข้อเท็จจริงกระไรได้

อนึ่งสิทธิรับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจะต้องเป็นในคดีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงด้วยแล้วตามอำนาจของศาลอุทธรณ์แต่คดีเรื่องนี้ปัญหาข้อเท็จจริงเป็นอันต้องห้ามเสียแล้วตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์จะกลับมารับรองปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งได้ยุติไปแล้วนั้น เพื่อให้ศาลฎีการื้อฟื้นขึ้นวินิจฉัยใหม่นั้นไม่ได้

ศาลฎีกาเห็นพ้องตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ซึ่งถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยได้ใช้ห้องเช่ารายนี้เป็นร้านค้า ซึ่งเป็นการใช้ห้องพิพาทเพื่อทำการค้า ซึ่งไม่ใช่ “เคหะ” อันได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ จึงพิพากษายืน

Share