แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์ร่วมมีข้อโต้แย้งกันเรื่องแนวเขตรั้วที่จำเลยจะสร้างขึ้นใหม่ ขณะเจรจายังไม่ตกลงกันจำเลยได้กล่าวถ้อยคำต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจผู้มาทำการไกล่เกลี่ยว่าที่ต้องสร้างรั้วใหม่ เพราะไอ้คนนี้ (หมายถึงโจทก์ร่วม) มันเข้าไปข่มขืนคนในบ้านฉัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่วงเลยมาเป็นเวลานาน 2 ปีเศษแล้ว ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 329
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๙ เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังคุมคนงานซ่อมรั้วกั้นเขตระหว่างบ้านจำเลยกับบ้านบิดามารดา นายกษิตจำเลยบังอาจกล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความนายกษิตพร้อมกับชี้หน้าว่า “ที่ต้องสร้างรั้วใหม่ก็เพราะไอ้คนนี้มันเข้ามาข่มขืนคนใช้ในบ้านฉัน” โดยกล่าวต่อหน้าร้อยตำรวจตรีพงษ์สิทธิ นายอนันต์ และผู้อื่นอีกหลายคน โดยประการที่น่าจะทำให้นายกษิตเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายกษิตผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ร่วมเคยเข้าไปในบ้านของจำเลยเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราหญิงรับใช้ หลังจากนั้นราว ๒ ปี คือเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยและสามีจะทำรั้วบ้านใหม่ เกิดโต้แย้งเรื่องเขตแนวรั้วกับโจทก์ร่วมและบิดามารดาของโจทก์ร่วมร้อยตำรวจตรีพงษ์สิทธิเจ้าหน้าที่ตำรวจไกล่เกลี่ยให้ตกลงกัน จำเลยจึงกล่าวต่อหน้าร้อยตำรวจตรีพงษ์สิทธิว่าที่ต้องสร้างรั้วใหม่เพราะไอ้คนนี้ (หมายถึงโจทก์ร่วม ) มันเข้าไปข่มขืนคนใช้ในบ้านฉัน ดังนี้ เห็นว่าการที่ฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์มีข้อโต้แย้งกันเรื่องแนวเขตรั้ว แต่จำเลยกลับนำเรื่องราวดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานาน ๒ ปีเศษขึ้นมาเป็นเหตุกล่าวประจานโจทก์ร่วมต่อหน้าตำรวจ (โดยจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกล่าวเช่นนั้นได้) การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖