คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าบิดาจำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามฟ้อง จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าบิดาจำเลยไม่ได้กู้เงินไปจากโจทก์ ดังนี้ ข้อความที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า บิดาจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องหรือไม่ ย่อมมีความหมายรวมไปถึงว่าบิดาจำเลยได้รับเงินไปแล้วหรือไม่ ไม่จำต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า บิดาจำเลยได้กู้เงินโจทก์และรับเงินกู้ไปแล้วหรือไม่
บิดาจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.6โดยเอกสารหมาย จ.2 ทำขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2535 มีข้อความว่า “ฯลฯข้อ 1 ฯลฯ 1.1 ผู้กู้ได้กู้ยืมเงินมาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2533 จำนวนเงิน2,025,000 บาท (สองล้านสองหมื่นห้าพันบาทถ้วน) 1.2 ผู้กู้ได้กู้ยืมเงินมาเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2533 จำนวนเงิน 590,000 บาท ฯลฯ รวมเป็นเงิน ฯลฯ10,900,000 บาท (สิบล้านเก้าแสนบาทถ้วน) ฯลฯ ข้อ 3 ผู้ให้กู้และผู้กู้ตกลงกันว่าเงินจำนวนกู้ทั้งหมดตามสัญญากู้นี้ผู้กู้จะชำระคืนให้เมื่อขายที่ที่สามเหลี่ยมทองคำ ฯลฯได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฯลฯ” การที่โจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินกันก่อนหน้าที่โจทก์และบิดาจำเลยจะได้ทำเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งตามข้อความในเอกสารหมายจ.2 ก็ปรากฏชัดว่าบิดาจำเลยได้รับเงินไปก่อนแล้ว ทั้งเอกสารหมาย จ.6 ก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน เอกสารหมาย จ.2 และ จ.6 จึงเป็นเพียงหลักฐานในการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อบิดาจำเลยผู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน แม้ไม่ปิดอากรแสตมป์ตาม ป.รัษฎากร ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
หนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยให้การต่อสู้ว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่เคยทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้เลย มิได้ให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามเอกสารหมายจ.2 ยังไม่ถึงกำหนด เพราะจำเลยยังไม่ได้ขายที่ดิน ฎีกาของจำเลยที่ว่าหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 ยังไม่ถึงกำหนดจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
หนี้ตามเอกสารหมาย จ.6 ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้โจทก์จะบอกกล่าวเพื่อให้เวลาแก่จำเลยหรือไม่ก็ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้ แม้ไม่ได้บอกกล่าวจำเลยให้ชำระหนี้

Share