แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัท พ. นายจ้างให้จำเลยนำรถยนต์และอุปกรณ์ไปขนแร่ตามใบอนุญาตขนแร่จำนวน 5,090 กิโลกรัม แต่ในระหว่างทางซึ่งเป็นคนละท้องที่กับที่บริษัท พ.ให้จำเลยไปขนแร่ จำเลยได้รับขนแร่ของ ย. อีก 944.8 กิโลกรัม อันเป็นส่วนเกินจากใบอนุญาตขนแร่ของบริษัท พ. และเป็นแร่ที่ไม่มีใบอนุญาตให้ขน ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลการของจำเลยเอง และกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของบริษัท พ. ผู้เป็นนายจ้างดังนี้ ถือไม่ได้ว่าบริษัท พ. รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย ทั้งจะนำพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 มาปรับเข้ากับกรณีนี้ไม่ได้ แร่ของกลางนอกจากแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัมของ ย. ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน จึงไม่ใช่ของกลางอันจะพึงริบตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 บัญญัติห้ามเฉพาะผู้รับใบอนุญาตขนแร่ ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่าแร่ส่วนที่เกินจำนวนต้องเป็นแร่ของผู้ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นของผู้อื่นที่ผู้รับใบอนุญาตรู้เห็นเป็นใจให้ขน เมื่อคดีฟังได้ว่าบริษัท พ. ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขนแร่ มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างรับขนแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัม ของผู้อื่น จึงจะนำแร่นอกจากจำนวน 944.8 กิโลกรัม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขนโดยชอบมารวมคำนวณค่าปรับด้วยหาได้ไม่
การที่จำเลยรับขนแร่ไป ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใบอนุญาตขนแร่ จำเลยย่อมมีความผิดทั้งมีแร่และขนแร่โดยไม่รับอนุญาต อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับบริษัท พ. บริษัท ส. และบริษัท ย. ร่วมกันมีแร่และขนแร่จำนวน ๖,๐๓๔.๘ กิโลกรัม โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๔, ๑๐, ๑๐๕, ๑๐๘,๑๑๐, ๑๔๘, ๑๕๔, ๑๕๕ ฯลฯ ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๐๘, ๑๑๐, ๑๔๘, ๑๕๔ ลงโทษปรับ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ริบแร่จำนวน ๙๔๔.๘ กิโลกรัม ซึ่งเป็นส่วนที่เกินกว่าใบอนุญาตขนแร่ คำขอนอกนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีแร่ ๙๔๔.๘ กิโลกรัมไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง และริบของกลางทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์ขอให้คิดคำนวณค่าปรับจากแร่จำนวน ๙๔๔.๘ กิโลกรัม
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นปรับจำเลยจากแร่จำนวน ๖,๐๓๔.๘กิโลกรัม ยังไม่ถูกต้อง เพราะแร่ผิดกฎหมายมีเพียง ๙๔๔.๘ กิโลกรัมเท่านั้น ต้องคำนวณค่าปรับจากแร่จำนวนนี้ และจำเลยผิดฐานมีแร่อีกข้อหาหนึ่ง พิพากษาแก้ให้ปรับ ๒๐๐,๐๐๐ บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของบริษัท พ. ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการรับซื้อแร่ วันเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ของบริษัทไปขนแร่ตามใบอนุญาตขนแร่ จากตำบลถ้ำทะลุ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา มาถึงเหมืองคลองปอม จำเลยพบกับ ย. คนงานเหมืองคลองปอม ย. ให้จำเลยรับขนแร่อีก ๑๘ กระสอบ เป็นแร่นอกเหนือจากใบอนุญาตขนแร่ ซึ่งปรากฏภายหลังว่ามีน้ำหนัก ๙๔๔.๘ กิโลกรัม ไปโดย ย. ให้ค่าจ้างขนแก่จำเลย ๔,๐๐๐ บาท และว่าจะไปคอยรับแร่ส่วนนี้ที่ถนนประชารัฐ หาดใหญ่ เมื่อจำเลยไปถึงอำเภอหาดใหญ่ก็ถูกเจ้าพนักงานจับดำเนินคดีนี้
ที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบของกลางทั้งหมดนั้น แม้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๐ ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติว่า ในกรณีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ได้กระทำโดยตัวแทนหรือลูกจ้าง ให้ถือว่าผู้รับใบอนุญาตเป็นตัวการในการกระทำผิดนั้นด้วย และมาตรา ๑๑๐ ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตขนแร่ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตขนแร่ และว่าการขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นเป็นแร่ที่ขนโดยมิได้รับอนุญาตและมาตรา ๑๕๔ ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติว่า บรรดาแร่ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือเครื่องจักรกลใด ๆ ที่บุคคลได้มาได้ใช้ในการกระทำผิดตามมาตรา ๑๔๘ (บทลงโทษฐานมีแร่ไว้ในครอบครองหรือขนแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๐๕,๑๐๘ ที่แก้ไขแล้ว)ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด เมื่อคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า บริษัท พ. ให้จำเลยนำรถยนต์และอุปกรณ์ไปขนแร่ตามใบอนุญาตเท่านั้น การที่จำเลยไปขนแร่ของ ย. อันเป็นส่วนเกินที่ปรากฏในใบอนุญาตและเป็นคนละท้องที่กับที่ให้จำเลยไปขน จึงเป็นการกระทำโดยพลการของจำเลยเอง และกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของบริษัทดังกล่าวผู้เป็นนายจ้าง ถือไม่ได้ว่านายจ้างของจำเลยรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดนี้ด้วย ทั้งจะนำมาตรา ๑๑๐ ที่แก้ไขแล้วมาปรับเข้ากรณีนี้ไม่ได้ ดังนั้น ของกลางนอกจากแร่ ๙๔๔.๘ กิโลกรัม ของ ย. ซึ่งเป็นคนละส่วนกันจึงไม่ใช่ของกลางอันจะพึงริบตามกฎหมาย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาให้คำนวณค่าปรับจากแร่ของกลางทั้งหมดนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรา ๑๑๐ ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติห้ามเฉพาะผู้รับใบอนุญาตขนแร่ ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่าแร่ส่วนที่เกินจำนวนต้องเป็นแร่ของผู้ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นของผู้อื่นที่ผู้รับใบอนุญาตรู้เห็นเป็นใจให้ขน เมื่อคดีนี้ฟังว่าบริษัท พ.มิได้รู้เห็นเป็นใจในการขนแร่ ๙๔๔.๘ กิโลกรัม ส่วนของ ย. ก็จะนำแร่นอกนี้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขนโดยชอบมารวมคำนวณค่าปรับด้วยหาได้ไม่
ส่วนข้อฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ควรมีความผิดฐานมีแร่ไว้ในความครอบครองเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยรับขนแร่ของ ย.จำนวน ๑๘ กระสอบ น้ำหนัก ๙๔๔.๘ กิโลกรัม ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใบอนุญาตขนแร่ไป ถือได้แล้วว่าจำเลยมีเจตนาเป็นผู้ครอบครองจึงมีความผิดฐานมีแร่ดีบุกของกลางส่วนนี้ไว้โดยมิได้รับอนุญาตด้วย เพราะหากไม่มีไว้ก็ย่อมขนไปไม่ได้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดทั้งมีแร่และขนแร่โดยไม่รับอนุญาต อันเป็นความผิดสองกรรมสองกระทงต่างกันตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๕๖/๒๕๒๔ ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดตรัง โจทก์ นายประสงค์ มายดี กับพวก จำเลย แต่คดีนี้โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเป็นสองกรรมสองกระทงต่างกัน ศาลฎีกาจึงไม่ลงโทษตามนัยคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวให้ อันเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีแร่จำนวนนี้ไว้ในครอบครองและขนแร่โดยไม่มีใบอนุญาต แร่ของกลางในส่วนของย. จึงเป็นทรัพย์ที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐มาตรา ๑๕๔ ที่แก้ไขแล้ว
พิพากษายืน.