คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797-3798/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่พิพาทแม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใดแต่ก็ได้ความจากคดีในสำนวนหลังซึ่งมีผู้ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากที่พิพาทเป็นเงินปีละ2,400บาทถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทเมื่อจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่1ในสำนวนหลัง(โจทก์ในสำนวนแรก)ซึ่งคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้มีผลถึงจำเลยที่2ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245,247 คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง)แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก)ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่พ.จำเลยที่1ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป.

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 25 ปี ก่อนฟ้อง โจทก์บุกเบิกถางป่าและครอบครองที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ขออาศัยปลูกกระท่อมในที่พิพาท บัดนี้โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทต่อไปจึงแจ้งให้จำเลยรื้อกระท่อมออกไป แต่จำเลยไม่ยอมออก ขอศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อกระท่อมออกไปจากที่พิพาท และเพิกถอน ส.ค.1 และ น.ส.3 ด้วย จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของนางผึ้ง มารดาจำเลยที่ 1 ซึ่งทางการออกน.ส. ให้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จำเลยทั้งสองปลูกเรือนอาศัยอยู่ในที่พิพาทนายมาแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาต สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยบิดามารดายกให้ เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนฟ้อง จำเลยทั้งสองได้มาขออาศัยที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ทำกิน ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองทำกินต่อไปจึงแจ้งให้จำเลยรื้อเรือนออกไป แต่จำเลยไม่เชื่อฟัง กลับสมาคมกับจำเลยที่ 3 นำรถมาไถที่พิพาทของโจทก์และหว่านข้าวลงไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไป และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เป็นเงินปีละ 2,400 บาทจนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาท จำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมที่พิพาทเป็นป่า จำเลยที่ 1 บุกเบิกปลูกสร้างทำกินในที่พิพาทตลอดมา โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทโจทก์ไปขอออก น.ส.3 และโฉนดทับที่พิพาทจึงเป็นโมฆะ ค่าเสียหายสูงเกินไปส่วนจำเลยที่ 3 นั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันและให้เรียกโจทก์ในสำนวนคดีหลังว่าโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ในสำนวนคดีแรกว่าโจทก์ที่ 2 ส่วนโจทก์ในสำนวนคดีแรกเรียกว่าจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามในสำนวนคดีหลังให้เรียกจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เช่นเดิม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน2,400 บาทต่อปี จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้อง ขับไล่โจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวที่ไถที่ดินของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้เกี่ยวข้องและพิพากษาให้จำเลยที่ 1ที่ 2 พร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยปลูกไว้ออกจากที่พิพาท ให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงินปีละ 2,400 บาทนับแต่ปี พ.ศ. 2524 จนกว่าจำเลยที่ 2 จะออกจากที่พิพาท นายพู ขุนลา จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์คดีแรกและเป็นจำเลยที่ 2 คดีหลัง)อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นายพู ขุนลา จำเลยที่ 1 ฎีกาทั้งสองสำนวน ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในสำนวนแรกที่นายพู ขุนลา จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 2 ผู้อาศัยออกจากที่ดินจำเลยที่ 1 และให้รื้อกระท่อมออกไป แม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใดแต่ก็ได้ความตามสำนวนหลังว่าที่พิพาทโจทก์ที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายพู จำเลยที่ 1 ให้ร่วมกับจำเลยอื่นใช้ค่าขาดประโยชน์เป็นเงินปีละ 2,400 บาท จึงถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวอ้างว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ที่ 1 ในสำนวนหลัง ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ที่ 2 โดยโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนแรกมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรกจึงไม่มีสิทธิจะฎีกาต่อมาได้ คดีตามสำนวนแรกข้อเท็จจริงคงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของนายพู ขุนลา จำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ในสำนวนหลังและให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นมูลกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245, 247 ยกคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์และยกฎีกาจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกโดยให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกทั้งหมดค่าทนายความในชั้นฎีกาในสำนวนแรกให้เป็นพับ สำนวนหลังค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่ 1 ที่จะฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกาต่อไป

Share