คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจลงวันที่ในเช็คพิพาททั้งสิบสามฉบับ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิฟ้องร้องภายในหนึ่งปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ และจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่ อ. เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ถูกต้องและชอบด้วยเหตุผลแล้ว จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินเฉพาะตามเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาศุภสารรังสรรค์สิบสามฉบับ เป็นเงิน 6,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 982 วัน เป็นเงิน 1,310,293.73 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,810,293.73 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,500,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 6,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 เมษายน 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า นายอุดรเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายอุดรชอบที่จะลงวันที่ในเช็คพิพาทซึ่งมิได้ลงวันที่ตามที่ถูกต้องแท้จริงโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 910 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 989 ได้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายอุดรผู้ทรงจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900, 904, 914 ประกอบมาตรา 989 และมาตรา 224 ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ว่า นายอุดรรับเช็คพิพาทของจำเลยที่ 1 ไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินเท่านั้น นายอุดรกับจำเลยที่ 2 ตกลงกันว่าจะไม่นำเช็คพิพาทมาลงวันที่หรือนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังได้ชำระหนี้เงินกู้ที่ออกเช็คพิพาทเป็นประกันครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธินำมาฟ้องเรียกเก็บเงินได้อีกนั้น ฝ่ายจำเลยมีเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของจำเลยที่ 2 ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าเป็นความจริง คดีฟังไม่ได้ว่ามีข้อตกลงหรือมีการชำระหนี้แก่นายอุดรเสร็จสิ้นแล้วและเมื่อโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนนทบุรีภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ลงในเช็คพิพาทถึงกำหนด ต่อมาศาลจังหวัดนนทบุรีจำหน่ายคดีเนื่องจากคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องภายในหกสิบวัน นับแต่คดีถึงที่สุด ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 4,000 บาท แทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์อื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจลงวันที่ในเช็คพิพาททั้งสิบสามฉบับ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิฟ้องร้องภายในหนึ่งปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ และจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่นายอุดรเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงไว้ถูกต้องและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share