แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลล่างพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางที่ตกอยู่ในการจำยอม จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์ไม่ตกอยู่ในที่ล้อม ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางจำเป็น จึงเป็นฎีกาที่ไม่ตรงประเด็น ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย
โจทก์อ้างข้อตกลงอันเป็นมูลเดิมแล้วฟ้องว่าทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของข้อตกลง
โจทก์ฟ้องจำเลยในกรณีละเมิดปักเสารุกล้ำ กั้นรั้วปิดทางเดิน แล้วเรียกค่าเสียหาย แม้ไม่ได้กล่าวว่าเสียหายอะไรไปเท่าใด กฎหมายก็บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยให้ค่าเสียหายตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ดินจำเลยตรงทางเดินรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอม ซึ่งโจทก์ใช้เป็นทางเดินมากว่า 10 ปี ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทางรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านหรือไม่ มิได้อยู่ที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใดหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยเปิดทางภารจำยอมซึ่งโจทก์ได้ใช้เป็นทางเดินเข้าออกจากบ้านและที่ดินโจทก์มากว่า ๑๐ ปีแล้ว และจำเลยได้รุกล้ำกั้นรั้วปิดทางเสียบางส่วน เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้ใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะมีทางออกทางอื่นอยู่แล้ว โจทก์ใช้ทางยังไม่ถึง ๑๐ ปี และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นภารจำยอม จำเลยไม่ม่สิทธิล้อมรั้วปิดทาง ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเดือนละ ๑๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเดือนละ ๕๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินของโจทก์ไม่ตกอยู่ในที่ล้อม ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางจำเป็นนั้ เป็นฎีกาที่ไม่ตรงประเด็น เพราะศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางที่ตกอยู่ในภารจำยอม โจทก์ได้มาโดยอายุความ
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าข้อตกลงของโจทก์กับเจ้าของที่ดินได้ตกลงกันไว้อย่างไร ตอบแทนกันอย่างไร และไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงขอให้บังคับไม่ได้นั้น โจทก์อ้างข้อตกลงอันเป็นมูลเดิมแล้วฟ้องว่ ทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของข้อตกลง
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้เสียหาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้กล่าวว่าเสียหายอะไรเท่าใด เห็นว่ากฎหมายบัญญัติให้ศาลวินิจฉัยให้ค่าเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกา โจทก์ที่ ๔ ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใด จึงไม่มีสิทธิจะฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางเดิน เห็นว่า ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใดหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ทางรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านหรือไม่ โจทก์มีสิทธิฟ้อง
ที่จำเลยฎีกาว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอม และโจทก์ใช้ทางพิพาทมายังไม่ถึง ๑๐ ปีนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทมากว่า ๑๐ ปีแล้ว ทางพิพาทจึงเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความ
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาจำเลย