คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4480/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาการใช้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองฉบับพิพาทโจทก์และจำเลยมีข้อตกลงกันว่าหากโจทก์ชำระเงินแทนจำเลยไปจำเลยยอมให้โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปหักทอนในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลย และยินยอมให้ถือเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์ และ จำเลยปฏิบัติต่อกันนั้นต่างมุ่งที่จะผูกพันตามบัตรเครดิตเป็นสำคัญ โดยโจทก์จะอนุมัติต่อเมื่อจำเลยได้ทำคำขอเปิด บัญชีกระแสรายวันเพื่อเดินสะพัดกับโจทก์ แต่การที่โจทก์ ให้จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันโดยไม่ได้มีการใช้เช็ค เบิกถอนเงินตามปกติ หากแต่เป็นบัญชีกระแสรายวัน เพื่อให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลย ฝ่ายเดียวเท่านั้น จึงมิใช่กรณีที่โจทก์จำเลยเปิดบัญชี กระแสรายวันขึ้นเพื่อหักทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่ในกิจการ ในระหว่างโจทก์และจำเลยนั้นหักกลบลบกัน แล้วคงชำระส่วนที่เป็น จำนวนคงเหลือโดยดุล ภาคอันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัด หนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตามบัตรเครดิตวีซ่าชฎาทอง จึงไม่ใช่หนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองและบัตรเครดิตขวัญนครของโจทก์ รวมเป็นเงิน 44,379.80 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน36,826.67 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 17,131.89 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 15,656.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 20,807.04 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 15,656.35 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องสำหรับหนี้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทอง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้สัญญาการใช้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองระหว่างโจทก์และจำเลยจะมีข้อตกลงกันว่า หากโจทก์ชำระเงินแทนจำเลยไปจำเลยยอมให้โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปหักทอนในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลย และยินยอมให้ถือเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี ตามสัญญาและเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่าชฎาทอง เอกสารหมาย จ.3 ก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์และจำเลยปฏิบัติต่อกันนั้นต่างมุ่งที่จะผูกพันตามบัตรเครดิตเป็นสำคัญทั้งนี้เพราะลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 นั้น เป็นสัญญาที่คู่สัญญามีเจตนาตกลงกันจัดให้มีบัญชีหนี้ขึ้นและให้หักทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุล ภาค สำหรับนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลย ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 โจทก์จะอนุมัติต่อเมื่อจำเลยได้ทำคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันเพื่อเดินสะพัดกับโจทก์ โจทก์อนุมัติให้จำเลยเป็นสมาชิกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2535 ภายหลังจากที่จำเลยได้ทำคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อเดินสะพัดกับโจทก์และภายหลังจากที่จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองแล้วก็ตาม แต่พฤติการณ์และข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โจทก์ให้จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันโดยไม่ได้มีการใช้เช็คเบิกถอนเงินตามปกติ หากแต่เป็นบัญชีกระแสรายวันที่ใช้เพื่อให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยฝ่ายเดียวเท่านั้น มิใช่กรณีที่โจทก์จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันขึ้นเพื่อหักทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่ในกิจการในระหว่างเขาทั้งสองคือโจทก์และจำเลยนั้นหักกลบลบกันแล้วคงชำระส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุล ภาคอันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัด จึงเห็นได้ว่า หนี้ที่จำเลยคงค้างชำระโจทก์ตามบัตรเครดิตวีซ่าชฎาทองโดยแท้จริงแล้วไม่ใช่หนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share