คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1126/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอาญาบันทึกไว้เพียงว่า โจทก์ได้รับเงิน 10,000 บาท จากจำเลยที่ 1 เพื่อบรรเทาความเสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางอาญาแก่จำเลยที่ 1ต่อไปเป็นบันทึกว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ต่อไปเฉพาะในทางอาญาเท่านั้น มิใช่ตกลงระงับข้อพิพาททางแพ่งไม่ทำให้หนี้ละเมิดระงับ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายฐานละเมิดจำนวน 242,584 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า โจทก์มิใช่มารดาของนายเลิศพรเหลืออรุณ เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของนายเลิศพรแต่ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 2 ยอมรับว่าเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 สำหรับจำเลยที่ 3 มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินไป ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 แล้วจึงทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกค่าเสียหายหมดสิ้นไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 182,460 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนเงินเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระจำนวน 177,460 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 ทำให้หนี้ละเมิดระงับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอาญาตามเอกสารหมาย จ.11 บันทึกไว้เพียงว่า โจทก์ได้รับเงิน 10,000 บาท จากจำเลยที่ 1 เพื่อบรรเทาความเสียหายจนเป็นที่พอใจแล้วไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางอาญาแก่จำเลยที่ 1 ต่อไป เป็นบันทึกว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ต่อไปเฉพาะในทางอาญาเท่านั้น มิใช่ตกลงระงับข้อพิพาททางแพ่งไม่ทำให้หนี้ละเมิดระงับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่หลุดพ้นจากความรับผิด…”
พิพากษายืน.

Share