แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการพิจารณาคดีแพ่ง จำเลยได้อ้างสัญญากู้ยืมเงินเป็นพยาน โจทก์จึงฟ้องคดีอาญาหาว่าจำเลยปลอมสัญญากู้ยืมดังกล่าวก่อน แล้วต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยฐานใช้และอ้างเอกสารที่หาว่าปลอมนั้นด้วย เช่นนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และ 268 เห็นได้ชัดว่าในเรื่องมีผู้ทำปลอมเอกสารขึ้นแล้วผู้ทำนำเอกสารปลอมนั้นไปใช้หรืออ้างเองกฎหมายให้ลงโทษในการใช้หรืออ้างเอกสารปลอมแต่อย่างเดียว ถือว่าเป็นความผิดกระทงเดียวเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเพียงทำเอกสารสิทธิปลอมก่อนและฟังไม่ได้ว่าเป็นเอกสารปลอม คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ก็ต้องถือว่าความผิดในข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอมคดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) โจทก์จะขอให้ดำเนินคดีและสืบพยานต่อไปหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจเติมและแก้ไขหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2500 อันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งโจทก์ได้ทำให้ไว้แก่จำเลยในการที่โจทก์ได้กู้ยืมเงินจำเลยไป 8,600 บาท โดยจำเลยได้เติมเลข 0 ลงไปท้ายจำนวนเงินกู้ยืม 8,600 บาท ให้เป็น 86,000 บาท และต่อมาจำเลยนี้โดยเจตนาทุจริตได้บังอาจเติมข้อความ “แปดหมื่นหกพันบาท” ลงเหนือช่องจำนวนกู้ยืมที่ลงไว้เป็นตัวเลขในสัญญากู้ยืมดังกล่าว โจทก์ได้ฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 ปรากฎตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 638/2505 ของศาลชั้นต้น ต่อมาได้บังอาจอ้างหนังสือสัญญากู้ยืมซึ่งจำเลยทำปลอมดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของจำเลยโดยยื่นบัญชีพยานต่อศาลและแสดงและยื่นหนังสือสัญญากู้นั้นต่อศาลในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขดำที่ 44/2501 เป็นการแสดงและนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เป็นข้อสำคัญในคดี เป็นเหตุให้โจทก์และประชาชนได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268, 180, 264, 265
ศาลชั้นต้นไต่สวนคดีมีมูล
โจทก์จำเลยต่างแถลงขอให้รอคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลคดีอาญาหมายเลขดำที่ 638/2505 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอคดีนี้ไว้ชั่วคราวต่อมาเมื่อศาลพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 638/2505 และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์แถลงขอดำเนินคดีนี้ต่อไป ขอให้นัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 638/2505 หมายเลขแดงที่ 498/2507 มาประกอบการพิจารณาในคดีนี้ และสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าเอกสารสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2500 เป็นเอกสารปลอมแล้ว แม้จำเลยจะได้ใช้เอกสารนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 หรือ 180 พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมาว่า โจทก์ยังมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยในคดีนี้ได้ และศาลต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาตามรูปความจึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้วได้ความว่า ในการพิจารณาคดีแพ่งจำเลยในคดีนี้ได้อ้างสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2500เป็นพยานต่อมาโจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยหาว่าปลอมสัญญากู้ยืมฉบับดังกล่าว ขอให้ลงโทษฐานปลอมเอกสาร ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 638/2505 หมายเลขแดงที่ 498/2507 และต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยฐานใช้และอ้างเอกสารปลอมเป็นพยานต่อศาล คือ สำนวนคดีนี้ โจทก์และจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกัน
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีมีข้อกล่าวหาจำเลยกระทำความผิดอันเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องกันถือว่าจำเลยได้ทำปลอมสัญญากู้ยืมเงินเอกสารสิทธิ แล้วจำเลยได้ใช้สัญญากู้ยืมเงินเอกสารที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นพยานหลักฐานคดีที่จำเลยฟ้องเรียกเงินจากโจทก์ตามสัญญาปลอมนั้น ความผิดที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำปลอมสัญญากู้ยืมเงินเอกสารสิทธิเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการต้องระวางโทษ….” คดีนี้ โจทก์ว่าจำเลยใช้หรืออ้างสัญญากู้ยืมเงินเอกสารปลอมนั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิด ตามมาตรา 264 มาตรา 265 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้นหรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความเอง ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว” ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าในเรื่องมีผู้ทำปลอมเอกสารขึ้นแล้วผู้ทำนำเอกสารปลอมนั้นไปใช้หรืออ้างเอกสารนั้นเอง กฎหมายกำหนดให้ลงโทษในการใช้หรืออ้างเอกสารปลอมแต่อย่างเดียว ต้องถือว่ากฎหมายกำหนดให้เป็นความผิดกระทงเดียวดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยแต่เพียงจำเลยทำปลอมเอกสารสิทธิตามสำนวนคดีแดงที่498/2507 ก่อนแล้วต่อมาจึงฟ้องคดีนี้ในข้อหาว่าจำเลยใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิที่จำเลยทำปลอมขึ้นอีก และโจทก์จำเลยขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีนี้ไว้ เพื่อฟังผลที่สุดของคดีแดงที่ 498/2507 เมื่อคดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าเอกสารสิทธิสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นฟังไม่ได้ว่าเป็นเอกสารปลอม คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ก็ถือได้ว่าความผิดของจำเลยในข้อหาเรื่องใช้หรืออ้างเอกสารปลอมคดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วย เพราะเป็นความผิดเรื่องเดียวหรือกระทงเดียวกับความผิดในเรื่องที่กล่าวหาว่าจำเลยทำปลอมเอกสารสิทธิ สิทธิการฟ้องคดีนี้ต้องระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง” โจทก์จะขอให้ดำเนินคดีนี้และสืบพยานต่อไปหาได้ไม่
พิพากษายืน