คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ บุตรโจทก์และ น. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในบ้านและที่ดินพิพาทจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทกับ น. โดย จำเลยอาศัยสิทธิของ น. ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินพิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 124141 ต่อมาโจทก์จำเลยได้หย่ากันโดยจำเลยยอมโอนที่ดินและบ้านดังกล่าวซึ่งเป็นสินสมรสเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่เด็กชายทัติพงษ์ พิจิตรพงศ์ชัย บุตรของโจทก์จำเลย ซึ่งศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยได้ขออยู่ต่อไปชั่วคราวเพื่อหาที่อยู่ใหม่ แต่จำเลยกับนางนิลนิด วิภัทราพันธ์(พิจิตรพงศ์ชัย) ภริยาอีกคนหนึ่งของจำเลยคงอยู่ในที่ดินและบ้านดังกล่าวเรื่อยมาโดยไม่ยอมขนย้ายออกไป โจทก์ในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปแล้วจำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์ที่ควรได้รับจากการให้บุคคลอื่นเช่าเดือนละ 20,000 บาท นับแต่เดือนธันวาคม 2527ถึงวันฟ้องรวม 3 เดือน เป็นเงิน 60,000 บาท ขอให้พิพากษาและบังคับจำเลยกับบริวารย้ายออกจากบ้านเลขที่ 62 หมู่บ้านปัญญากับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 60,000 บาท และเดือนละ20,000 บาท ทุกเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะย้ายออกไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามฟ้อง แต่ที่ดินและบ้านดังกล่าวเป็นของนางนิลนิดพิจิตรพงศ์ชัย ภริยาของจำเลย จำเลยอาศัยอยู่โดยความยินยอมของนางนิลนิดเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ค่าเสียหายถ้าหากมีก็ไม่เกินเดือนละ500 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์จำเลยเคยเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 176 ตารางวาเดิมมีชื่อโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาตามยอมให้โจทก์จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากันโดยจำเลยยอมโอนที่ดินเฉพาะส่วนของตนและบ้านพิพาทให้แก่เด็กชายทัติพงษ์ พิจิตรพงศ์ชัย บุตรของโจทก์จำเลย ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 379/2522 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมานางนิลนิด พิจิตรพงศ์ชัยหรือวิภัทราพันธ์ ภริยาอีกคนหนึ่งของจำเลยได้ฟ้องโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยร่วมกันต่อศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนางนิลนิดกับจำเลยขอให้ลงชื่อนางนิลนิดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อนางนิลนิดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 60 ตารางวา ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7223/2523 คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ยังไม่มีการใส่ชื่อนางนิลนิดในโฉนดที่ดินพิพาท ปัญหาในชั้นนี้มีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีที่นางนิลนิดฟ้องโจทก์จำเลย ศาลได้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อนางนิลนิดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดแล้ว นางนิลนิดจึงมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทด้วย ปรากฏตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ก็รับว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทกับนางนิลนิดซึ่งตรงกับทางนำสืบของจำเลยว่า จำเลยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางนิลนิดซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินพิพาทที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์อยู่ในฐานะที่จะขอจดทะเบียนนิติกรรมได้ก่อนนั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบรับฟังได้ว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทอยู่แล้ว ในปัญหาเรื่องโจทก์มีสิทธิจดทะเบียนนิติกรรมได้ก่อนหรือไม่ จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์เพราะปรากฏว่า จำเลยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางนิลนิดซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในบ้านและที่ดินพิพาทดังที่ได้วินิจฉัยแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share