คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หลังจากที่จำเลยชำระหนี้ตามบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดบางส่วนให้ธนาคารโจทก์ในครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อจากนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์อีกเลยทั้งโจทก์เองก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลยต่อไปด้วย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยในแต่ละเดือนต่อมาก็ล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระโจทก์ต่อไปอีก จึงมิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างโดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ซึ่งเห็นได้จากการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงสามารถบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดได้ทันทีตามใบแจ้งยอดบัญชี อายุความจึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบ ซึ่งเป็นการรับสภาพหนี้อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้วเริ่มนับอายุความใหม่ มิใช่เริ่มนับแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์จำนวน 2 ใบ จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไป โจทก์ได้บอกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรแล้วขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 178,956.94 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 35ต่อปี ของต้นเงิน 47,714.76 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 30 ต่อปี ของต้นเงิน48,913.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะว่ายอดบัญชีบัตรวีซ่านั้นจำเลยใช้จ่ายบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 17 ธันวาคม 2540 ส่วนยอดบัญชีบัตรมาสเตอร์การ์ด จำเลยใช้จ่ายบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 26 ธันวาคม 2540 ดังนั้น สิทธิเรียกร้องในยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบ โจทก์จะฟ้องร้องคดีภายในกำหนด 2 ปี แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543ซึ่งเกินกว่า 2 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ อีกทั้งดอกเบี้ยที่โจทก์คิดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตจำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์จำนวน 2 ใบ คือ บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด จำเลยยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตรและสามารถนำบัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้า ชำระค่าบริการและเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โดยตกลงให้โจทก์ทดรองจ่ายเงินแก่สถานประกอบการค้าหรือบริการไปก่อน แล้วโจทก์จึงแจ้งยอดหนี้เรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง ซึ่งโจทก์คิดค่าบริการและค่าธรรมเนียมจากจำเลย เมื่อโจทก์ออกบัตรเครดิตดังกล่าวให้จำเลยแล้ว จำเลยได้นำบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด ไปใช้จ่ายค่าสินค้าและค่าบริการซึ่งโจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยไปก่อนทุกครั้งพร้อมทั้งส่งใบแจ้งยอดบัญชีให้จำเลยนำเงินไปชำระให้โจทก์ทุกเดือนตลอดมา จำเลยชำระหนี้บางส่วนตามหนี้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540และชำระหนี้บางส่วนตามหนี้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 เห็นว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่สมาชิกซึ่งทำให้สมาชิกสามารถใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้จ่ายค่าสินค้าที่ซื้อจากร้านค้าหรือค่าบริการที่ใช้จากสถานบริการแทนการชำระด้วยเงินสดโดยโจทก์จะออกเงินทดรองชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการดังกล่าวแก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นร้านค้าหรือสถานบริการไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลัง อันเป็นลักษณะทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและใช้สถานบริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นบริการส่วนหนึ่งประกอบการให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกของโจทก์และโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมดังกล่าวด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนหรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็เป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) เมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ภายในวันที่ 12กันยายน 2540 และจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีบริการพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 ภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2540 ซึ่งวันที่จำเลยต้องชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบดังกล่าว เป็นวันที่โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) และมาตรา 193/15แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม2540 และวันที่ 27 ธันวาคม 2540 อันเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่เป็นต้นมา ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายให้โจทก์ตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 เป็นการชำระหนี้บางส่วนของจำเลย ยังมียอดหนี้และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ค้างชำระอยู่ที่จำเลยต้องชำระเป็นดอกเบี้ยและเบี้ยปรับแก่โจทก์เพราะชำระหนี้ล่าช้า โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 และวันที่ 23 เมษายน2541 ตามลำดับ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม2541 และวันที่ 24 เมษายน 2541 โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543ยังไม่เกิน 2 ปี จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า นับแต่จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และวันที่ 26 ธันวาคม 2540 แล้วนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์อีก ทั้งโจทก์ก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ต่อไปอีกก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างดังกล่าว แล้วให้แก่โจทก์โดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ทั้งนี้โจทก์ก็คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระ ดังข้อกำหนดและเงื่อนไขเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 7 ที่ระบุไว้ว่า “…จนกว่าจะมีการชำระหนี้ครบถ้วนแต่ทั้งนี้ธนาคารมีสิทธิที่จะเรียกไม่ว่าด้วยวาจาหรือหนังสือหรือใบแจ้งยอดบัญชีให้ผู้ถือบัตรชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดในทันทีโดยไม่ต้องรอจนถึงเวลาส่งใบแจ้งยอดบัญชีครั้งถัดไปหรือเรียกให้ชำระหนี้บางส่วนก่อนถึงกำหนดชำระดังกล่าวข้างต้นได้ตามที่ธนาคารจะเห็นสมควร โดยไม่ต้องแสดงเหตุผล…” และในข้อ 2 ของข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวยังระบุด้วยว่า “ธนาคารมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิต่าง ๆ ที่ให้แก่ผู้ถือบัตรได้ทุกเวลา…” อันเป็นข้อตกลงที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ที่ยืนยันว่า โจทก์สามารถบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดได้ทันทีตามใบแจ้งยอดบัญชีอายุความคดีนี้จึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบ มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้อีกต่อไปดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใดที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share