คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ลูกค้าผู้เปิดบัญชีฝากเงินประเภทกระแสรายวันไว้กับธนาคารพาณิชย์และได้ทำการเดินสะพัดทางบัญชีโดยนำเงินฝากและถอนเงินไปใช้เรื่อยมาภายหลังลูกค้ามีเงินฝากเหลืออยู่ในบัญชีเพียงเล็กน้อยจึงได้ตกลงกับธนาคารนั้นขอกู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นรายเดือนตามประเพณีธนาคารแล้วได้เบิกเงินเกินบัญชีเพื่อลดหนี้บ้าง ดังนี้ หาเข้าลักษณะการกู้ยืมเงินไม่แต่เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
คู่สัญญามิได้ตกลงกันไว้ว่า จะต้องชำระเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีเมื่อใดสัญญาบัญชีเดินสะพัดย่อมเป็นอันสิ้นสุดเลิกกันเมื่อธนาคารทวงถามให้ชำระหนี้
เมื่อสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันแล้ว ระยะเวลาต่อจากนั้นธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกหาได้ไม่ คงคิดได้เฉพาะดอกเบี้ยตามปกติ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้เคยค้ากับธนาคารโจทก์และเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน (บัญชีเดินสะพัด) ไว้ได้ตกลงกับธนาคารโจทก์ขอเบิกเงินเกินบัญชีไปเป็นคราวตามเวลาที่ต้องการ โดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือน ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แล้วจำเลยได้ใช้เช็คเบิกเงินเกินบัญชีไป 4 ครั้ง บางครั้งจำเลยได้นำเงินฝากเข้าบัญชีเพื่อลดหนี้บ้าง แต่ไม่สามารถกลบหนี้ได้ยังเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์อยู่ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 16,875.46 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยแต่วันฟ้อง

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจัดอยู่ในลักษณะกู้ยืม โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงชื่อจำเลยผู้กู้ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ พิพากษายกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกเงินตามเช็คเท่าที่มีสิทธิจะได้

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเคยเป็นลูกค้าธนาคารโจทก์โดยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเลขที่ 507 และจำเลยได้ให้ตัวอย่างลายเซ็นชื่อไว้ แล้วจำเลยได้ทำการเดินสะพัดทางบัญชีกับธนาคาร คือ นำเงินฝากและถอนเงินไปใช้เรื่อย ๆ ต่อมาจำเลยมีเงินฝากเหลือในบัญชีเพียง 45.35 บาท จำเลยจึงได้ตกลงกับธนาคารโจทก์ขอกู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 20,000 บาท โดยต้องเสียดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ15 ต่อปีโดยวิธีทบต้นตามประเพณีธนาคาร เมื่อตกลงกันแล้วจำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชี โดยวิธีใช้เช็คสั่งจ่ายเงินไปรวม 4 ครั้ง รวม 19,900 บาท จำเลยได้นำเงินฝากเข้าบัญชีลูกหนี้บ้าง แต่ยังไม่พอหักกลบลบหนี้ยังเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์คิดถึงวันฟ้อง 16,875.46 บาท ธนาคารโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยก็ไม่ชำระ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากธนาคารโจทก์ดังกล่าว หาเข้าลักษณะการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ดังศาลล่างวินิจฉัยไม่ แต่เข้าในลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามมาตรา 856 ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

ในปัญหาดอกเบี้ยที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยจะต้องชำระให้แก่ธนาคารโจทก์ตามข้อตกลงและธรรมเนียมประเพณีธนาคารพาณิชย์จนถึงวันฟ้องนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าได้ตกลงกันไว้ว่าจำเลยจะต้องชำระเงินที่กู้เบิกเงินเกินบัญชีไปให้เสร็จสิ้นเมื่อใด จึงต้องถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นอันสิ้นสุดเลิกกันในวันที่ 30 มิถุนายน 2510 เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถาม ซึ่งโจทก์ถือว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ค้างชำระอยู่ในวันดังกล่าว รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย 15,911.49 บาท ระยะเวลาต่อจากที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดได้เลิกกันแล้ว ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกหาได้ไม่

พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่ธนาคารโจทก์ 15,911.49 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในเงินจำนวนนี้ นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2510 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

Share