คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกัน ศาลสั่งให้โจทก์ส่งต้นฉบับสัญญาต่อศาลเพื่อให้จำเลยตรวจดูก่อนจำเลยให้การ โจทก์ยื่นคำแถลงว่ายังหาต้นฉบับไม่พบเพราะหลงไปปะปนอยู่กับเรื่องอื่น คงพบแต่สำเนา จะได้ขอนำเข้าสืบแทนต้นฉบับ จำเลยมิได้โต้แย้งอย่างใด ต่อมาศาลรับฟังสำเนาสัญญานั้นเมื่อโจทก์นำเข้าสืบก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
สำเนาของเอกสารที่อ้างไว้ในคดีเรื่องหนึ่งแล้ว คู่ความอ้างมาเป็นพยานในคดีอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบ ศาลย่อมรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันแล้วนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากับ อ. ตัวแทนของโจทก์ดังนี้ ไม่เป็นการสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์นิสสันดีเซล ไปจากโจทก์ โดยได้ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะผ่อนชำระทุกเดือน นับแต่เช่าซื้อไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามสัญญา คงชำระเพียง 3 ครั้งเท่านั้น โจทก์จึงไปรับรถคืน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จึงขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระกับดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการไปรับรถคืน

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถคันที่ฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถดังกล่าวกับโจทก์ สำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องไม่ถูกต้องตามต้นฉบับ จำเลยเคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นิสสัน ดีเซลไปจากนางอุษาพรประภา เจ้าหน้าที่ของโจทก์ ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงกับนางอุษา ตลอดมา ค่าใช้จ่ายในการไปรับรถคืนนั้นจำเลยไม่รับรอง จำเลยที่ 2 ให้การด้วยว่าไม่เคยค้ำประกันจำเลยที่ 1 กับโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีต้นฉบับสัญญามาแสดงต่อศาล และโจทก์มีแต่นางอุษาคนเดียวเป็นพยานนั้น คดีนี้โจทก์ยื่นคำแถลงก่อนจำเลยให้การว่า ตามที่ศาลสั่งให้โจทก์ส่งต้นฉบับเอกสารสัญญาเช่าซื้อต่อศาลเพื่อให้จำเลยตรวจดูก่อนยื่นคำให้การนั้น เนื่องจากต้นฉบับดังกล่าวยังค้นหาไม่พบ เพราะได้เคยนำออกแสดงแก่จำเลย และเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์กำลังปฏิบัติงานยุ่งอยู่กับลูกค้ารายอื่นจึงหลงไปปะปนกับเรื่องอื่น คงพบแต่สำเนา จะได้ขออนุญาตนำสำเนาสืบแทนต้นฉบับ ศาลชั้นต้นให้จำเลยทราบ จำเลยมิได้โต้แย้งอย่างไร เห็นว่าที่โจทก์อ้างว่าส่งต้นฉบับสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันเป็นพยานไม่ได้นี้ ก็เพราะต้นฉบับหาไม่พบ ทั้งโจทก์มีพยานเบิกความยืนยันว่าสำเนาเอกสารนี้ได้คัดมาถูกต้องตรงกับต้นฉบับ และกรรมการบริษัทโจทก์ลงชื่อรับรองความถูกต้องมาแล้ว จำเลยมิได้สืบปฏิเสธความถูกต้องแต่อย่างใด จึงรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์จะต้องขออนุญาตจากศาลเสียก่อนจึงจะสืบสำเนาและพยานบุคคลได้นั้น โดยได้ยื่นคำแถลงแสดงเหตุจำเป็นที่ส่งต้นฉบับเอกสารเป็นพยานไม่ได้ก่อนสืบพยานแล้ว การที่ศาลยอมรับฟังสำเนาเอกสารก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลมาสืบได้ ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93(2)

สัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้กับบริษัทโจทก์นั้นนางอุษา พรประภา กรรมการคนเดียวเป็นผู้ลงชื่อในนามของโจทก์ ในการนี้โจทก์มีหนังสือแต่งตั้งนางอุษา เป็นผู้มีอำนาจทำนิติกรรมต่าง ๆ ผูกพันบริษัทโจทก์ได้ ปรากฏตามเอกสาร จ.2 ฉะนั้น การที่นางอุษา ลงชื่อในสัญญาจึงมีอำนาจทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 และแม้จะเป็นสำเนาของเอกสารที่อ้างไว้ในคดีอื่นโจทก์ก็ได้อ้างมาเป็นพยานในคดีนี้โดยชอบ ศาลจึงรับฟังได้

ตามฟ้อง โจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันแล้วโจทก์นำสืบว่า จำเลยทำสัญญากับนางอุษา ตัวแทนโจทก์ โดยนางอุษาเป็นตัวแทนมีอำนาจทำสัญญาตามหนังสือแต่งตั้งจากบริษัทโจทก์ ก็เท่ากับนำสืบตามฟ้องว่า โจทก์ให้นางอุษาเป็นคู่สัญญากับจำเลย ไม่เป็นการสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้อง

ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืน

Share