คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 57 วรรคหนึ่ง โจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดจะต้องฟ้อง คชก. จังหวัดเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดเสียก่อน การที่โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนจากจำเลยโจทก์จึงชอบที่จะฟ้อง คชก. จังหวัดเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าว เมื่อคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุให้จำเลยโอนขายที่นาพิพาทคืนโจทก์ จึงเท่ากับขอให้กลับคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด ดังนั้น ที่โจทก์ไม่ฟ้องหรือร้องขอให้เรียก คชก. จังหวัดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีร่วมกับจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยขายที่นาพิพาทคืนโจทก์โดยลำพัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า นางทองอยู่ เดชะ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5089 ตำบลโคกช้าง (ลาดน้ำเค็ม) อำเภอผักไห่(เสนาใหญ่) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ซึ่งโจทก์เช่าทำนามาตั้งแต่ปี 2520 เมื่อเดือนมกราคม 2538 นางทองอยู่โอนขายที่นาแปลงดังกล่าวแก่จำเลยตามคำพิพากษาศาล โดยไม่แจ้งโจทก์ว่าประสงค์จะขายที่นา โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลโคกช้าง (คชก. ตำบลโคกช้าง)เพื่อขอซื้อนาคืนตามสิทธิ คชก. ตำบลโคกช้าง มีคำวินิจฉัยให้จำเลยขายที่นาคืนแก่โจทก์ในราคา 200,000 บาท จำเลยอุทธรณ์คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) มีคำวินิจฉัยกลับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโคกช้าง โดยเห็นว่าโจทก์น่าจะใช้สิทธิร้องสอดในคดีที่จำเลยฟ้องนางทองอยู่หรือฟ้องเป็นคดีใหม่และมีคำวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่นาคืนตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโคกช้างขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่ดินแก่โจทก์ในราคา 200,000 บาทหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า ศาลพิพากษาถึงที่สุด บังคับให้นางทองอยู่โอนขายที่นาพิพาทแก่จำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโจทก์เป็นเพียงผู้ที่ถูกนางทองอยู่เชิดให้เป็นผู้เช่านาจึงไม่มีสิทธิขอซื้อที่นาคืนจากจำเลย ปัจจุบันราคาที่นาพิพาทสูงขึ้นถึงไร่ละ 300,000 บาทถึง 400,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5089 ตำบลโคกช้าง (ลาดน้ำเค็ม) อำเภอผักไห่ (เสนาใหญ่) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) แก่โจทก์ทั้งแปลงคืนราคา 200,000 บาท โดยให้โจทก์ชำระราคาภายใน 60 วันนับแต่วันมีคำพิพากษา มิฉะนั้นให้ถือว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อคืนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ลงมติให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นไปตามคำพิพากษาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57 วรรคหนึ่งแต่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องเฉพาะจำเลยที่เป็นคู่กรณีโดยมิได้ฟ้องคชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นจำเลยร่วมด้วยเพื่อให้ คชก. จังหวัดดังกล่าวมีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของผู้ฟ้องขอเพิกถอนคำวินิจฉัยทั้งที่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดนั้นเอง ทำให้ศาลไม่อาจเพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดนั้นได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้บังคับจำเลยขายที่นาพิพาทคืนโจทก์โดยไม่จำต้องฟ้อง คชก.จังหวัดเป็นจำเลยร่วมด้วย ทั้ง คชก. จังหวัดมิได้เป็นนิติบุคคลหรือมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย ไม่ได้โต้แย้งสิทธิจำเลยและตามสภาพไม่อาจบังคับให้ คชก. จังหวัดโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์อ้างเหตุว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้อง คชก. จังหวัดด้วยนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่าพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดแต่จะต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่ คชก. จังหวัดมีคำวินิจฉัย”ซึ่งหมายความว่า โจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณี หรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดจะต้องฟ้อง คชก. จังหวัดเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดเสียก่อนเพราะตราบใดที่คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายและหากโจทก์ไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดภายในกำหนดเวลา คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดย่อมเป็นที่สุด ตามมาตรา 57วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 การที่โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนจากจำเลย โจทก์จึงชอบที่จะฟ้อง คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดดังกล่าวเมื่อคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุให้จำเลยโอนขายที่นาพิพาทคืนโจทก์จึงเท่ากับขอให้กลับคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดังนั้น ที่โจทก์ไม่ฟ้องหรือร้องขอให้เรียก คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเข้ามาเป็นคู่ความในคดีร่วมกับจำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยขายที่นาพิพาทคืนโจทก์โดยลำพัง แม้ คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะได้มีฐานะเป็นนิติบุคคล โจทก์ก็ย่อมฟ้องตัวบุคคลที่ประกอบเป็นคณะกรรมการได้และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง การยกฟ้องโจทก์คดีนี้ ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่”

พิพากษายืน โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

Share