แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 4 มิได้ให้การปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2หุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทแม้จำเลยที่ 4 ให้การว่าห้าง จำเลยที่ 1 ไม่เคยผูกนิติสัมพันธ์กับโจทก์ เช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้อันโจทก์จะอ้างกับห้างจำเลยที่ 1ก็ไม่ชัดแจ้งว่าได้ให้การปฏิเสธเกี่ยวกับลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายย่อมเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ทำให้ไม่มีประเด็นเรื่องนี้ การที่จำเลยที่ 4นำสืบปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2จึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ถือหุ้นในห้างจำเลยที่ 1 ต่อมาได้โอนหุ้นให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 แต่จำเลยที่ 3และที่ 4 ยังต้องรับผิดในหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ก่อขึ้นก่อนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ออกจากหุ้นส่วน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2527จำเลยที่ 2 นำเช็คซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 6เป็นผู้สลักหลังรวม 5 ฉบับ เป็นเงิน 318,200 บาท มาแลกเงินสดไปจากโจทก์ เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ในด้านการค้ากับโจทก์ โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คและนำเช็คปราศจากมูลหนี้มาฟ้องโดยไม่สุจริต เช็คตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข10 และ 12 มิได้ประทับตามสำคัญของจำเลยที่ 1 ไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดชอบ หนี้ตามเช็คเกิดขึ้นภายหลังจำเลยที่ 4 ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงิน 200,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 60,000บาท นับจากวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2527 เป็นต้นไป ในต้นเงิน 70,000บาท นับแต่จากวันที่ 13 มีนาคม 2527 เป็นต้นไป และในต้นเงิน70,000 บาท นับจากวันที่ 23 มีนาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งหกจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เมื่อคำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 12,977.08 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 118,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 60,000 บาท นับจากวันที่26 ธันวาคม 2527 เป็นต้นไปและในต้นเงิน 58,200 บาท นับจากวันที่10 เมษายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จำชำระเสร็จแก่โจทก์เมื่อคำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 7,023.75 บาท
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท และทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มีนายสมเจตน์ เจตพิพัฒน์รองผู้จัดการธนาคารตามเช็คพิพาท เป็นพยานเบิกความประกอบกับคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ได้ความว่าเช็คหมาย จ.6 ถึงจ.8 นั้น จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย และจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1ด้วย ดังนี้จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 4 มิได้ให้การปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท แม้จำเลยที่ 4 ให้การว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยผูกนิติสัมพันธ์กับโจทก์ เช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้อันโจทก์จะอ้างกับจำเลยที่ 1 ได้ก็ตาม ก็ไม่ชัดแจ้งว่าได้ให้การปฏิเสธเกี่ยวกับลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ย่อมเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ให้การปฏิเสธในข้อดังกล่าวไว้ ทำให้ไม่มีประเด็นเรื่องนี้จะนำสืบ การที่จำเลยที่ 4 นำสืบปฏิเสธว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 นั้นจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ
พิพากษายืน.