แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กรุงเทพมหานครจำเลยได้ดำเนินการให้ได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของโจทก์เพื่อประโยชน์สาธารณะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานครตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มาตรา 6,9,11,13 การที่จำเลยเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทจึงชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้ตกเป็นของจำเลยตั้งแต่วันที่จำเลยได้วางเงินค่าทดแทนไว้ต่อธนาคารในนามของโจทก์ซึ่งเป็นวันก่อนที่พระราชกฤษฎีกาฯ สิ้นผลใช้บังคับ จึงไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินพิพาทในภายหลังอีก ทั้งจำเลยได้เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์แล้ว ที่ดินพิพาทย่อมมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินรวม 13 แปลง เนื้อที่27 ไร่ 45 ตารางวา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายบริหารงานโดยจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 และจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีหน้าที่บริหารงานให้เป็นไปตามกฎหมายและยังเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงหนองบอนเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2531 และเมื่อวันที่ 19ตุลาคม 2533 จำเลยที่ 2 มอบให้ผู้อำนวยการกองรังวัดและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแจ้งโจทก์ว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสิบสามแปลงดังกล่าวถูกเวนคืนและให้ไปรับเงินค่าทดแทนที่ดินจำนวน8,956,900 บาท โดยไม่มีเหตุผลและรายละเอียด โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้ตอบอุทธรณ์ของโจทก์ ทั้งจำเลยทั้งสองยังเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2534 และเมื่อพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงหนองบอน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2531 ได้สิ้นผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2535โดยไม่มีพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินของโจทก์ออกมาใช้บังคับเพื่อเวนคืนที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองยังคงครอบครองที่ดินของโจทก์ตลอดมา จึงเป็นการครอบครองโดยละเมิดโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินเดือนละ 2,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารอพยพขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเดิมโดยมิให้เกี่ยวข้องอีกด้วยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ2,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงหนองบอน เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2531 ใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2531คณะรัฐมนตรีโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 13 ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 22 กันยายน 2533 เรื่องกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ให้อำนาจจำเลยทั้งสองมีอำนาจเข้าครอบครองและใช้อสังหาริมทรัพย์ได้ก่อนที่จะมีการเวนคืนซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 107 ลงวันที่ 27 กันยายน2533 จำเลยทั้งสองจึงมีอำนาจเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ถูกเวนคืนได้ตั้งแต่บัดนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินที่จะต้องเวนคืนและได้กำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ 8,955,895 บาท แต่โจทก์ไม่ไปรับเงินภายในกำหนด และไม่อุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ ภายในกำหนด เงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ ได้กำหนดให้แก่โจทก์จึงเป็นอันเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 25 โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์และเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินโจทก์จำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำนวน 13 แปลง ตั้งอยู่แขวงหนองบอนเขตประเวศ (เดิมเขตพระโขนง) กรุงเทพมหานคร รวมเนื้อที่ 27 ไร่45 ตารางวา อยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงหนองบอนเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2531 เพื่อประโยชน์สาธารณะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ 4 ปีนับตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2531 ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2535ตามพระราชกฤษฎีกาฯ เอกสารหมาย ล.9 และจำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การสร้างที่เก็บกักน้ำดังกล่าวเป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากการเวนคืนเนิ่นช้าไปจะเป็นอุปสรรคอย่างมากแก่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 คณะรัฐมนตรีโดยมติเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2533 จึงกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานครตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงหนองบอน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2531 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ได้ จึงได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงหนองบอนเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วนณ วันที่ 22 กันยายน 2533 ตามเอกสารหมาย ล.1 คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เป็นเงิน 8,946,900 บาท และค่าทดแทนต้นไม้เป็นเงิน 8,995 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,955,895 บาท ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2533ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ไปรับเงินค่าทดแทนดังกล่าวภายใน 15 วัน นับแต่วันรับหนังสือซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2533 ตามหนังสือและใบตอบรับเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 แต่โจทก์ไม่ได้ไปรับเงินค่าทดแทนภายในกำหนดเวลา ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนจึงได้วางเงินค่าทดแทนจำนวน 8,955,895 บาทโดยนำไปฝากไว้ที่ธนาคารออมสิน สาขาพระโขนง ประเภทเผื่อเรียกในนามของโจทก์เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2534 ตามเอกสารหมายล.22 ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2534 เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์และให้ไปรับเงินค่าทดแทนโดยแจ้งว่าจะเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับจากที่โจทก์ได้รับหนังสือฉบับนี้ตามหนังสือเอกสารหมาย ล.6 โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 มีนาคม2534 ตามใบตอบรับเอกสารหมาย ล.7 ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม2535 โจทก์ได้ทำหนังสือยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1เข้าครอบครองที่ดินได้ทั้งแปลงหรือทั้งหมดรวมทั้งให้ตัดต้นไม้ในที่ดินได้ทุกต้น และยินยอมให้รื้อถอนโรงเรือนซึ่งเป็นเรือนบริวารทั้งหมดตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไปตามเอกสารหมาย ล.8 และจำเลยที่ 1ได้เข้าครอบครองที่ดินทั้งสิบสามแปลงของโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ และใช้ที่ดินพิพาทตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงหนองบอนเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2531 ตลอดมา โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2537 ซึ่งในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องนั้นพระราชกฤษฎีกาฯ ตามเอกสารหมาย ล.9 สิ้นผลใช้บังคับแล้วโดยไม่มีการออกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินพิพาท คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์โดยห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องได้หรือไม่ เห็นว่า การดำเนินการของฝ่ายจำเลยให้ได้มาซึ่งที่ดินทั้งสิบสามแปลงของโจทก์อันเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้เพื่อประโยชน์สาธารณะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 คือได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงหนองบอน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2531 ตามมาตรา 6 และคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในโครงการนี้เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วนตามมาตรา 13 วรรคหนึ่ง และคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาฯแต่งตั้งตามมาตรา 9 วรรคสอง ก็ได้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ฝ่ายจำเลยได้วางเงินค่าทดแทนที่ดินดังกล่าวไว้ต่อธนาคารออมสิน สาขาพระโขนง กับเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในระหว่างที่พระราชกฤษฎีกาฯ ยังมีผลใช้บังคับซึ่งมาตรา 13 วรรคสอง ให้มีอำนาจกระทำได้ การเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยฝ่ายจำเลยนั้นเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และมาตรา 13วรรคท้าย บัญญัติว่า ในการดำเนินการตามวรรคสองและวรรคสามให้นำมาตรา 10 มาตรา 11… มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อนำมาตรา 11 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลมกับกรณีนี้แล้วก็จะเป็นว่าเมื่อผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนได้วางเงินค่าทดแทนที่ดินที่กำหนดขึ้นตามมาตรา 9 แล้วจำเลยที่ 2 หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ย่อมมีอำนาจหน้าที่มีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินทราบและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวดำเนินการแก้ไขหลักฐานทางทะเบียนในโฉนดที่ดินพิพาท ทั้งฉบับที่เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานที่ดินและฉบับที่โจทก์ยึดถือไว้ โดยให้ถือว่าเป็นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายและถือว่าได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนับแต่วันวางเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาท ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นของฝ่ายจำเลยแล้วตั้งแต่วันที่ 26กุมภาพันธ์ 2534 อันเป็นวันที่ฝ่ายจำเลยได้วางเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทไว้ต่อธนาคารออมสิน สาขาพระโขนง ในนามของโจทก์ซึ่งเป็นวันก่อนที่พระราชกฤษฎีกาฯ สิ้นผลใช้บังคับจึงไม่ต้องมีการออกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินพิพาทในภายหลังอีก นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสร้างเป็นที่เก็บน้ำอันเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานครแล้ว นับแต่นั้นที่ดินพิพาททั้งสิบสามแปลงรวมเนื้อที่ 27 ไร่ 45 ตารางวา ของโจทก์ย่อมมีสภาพเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์