แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่าจำเลยประพฤติชั่วติดยาเสพติดและประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล ไม่ทำมาหากิน ไม่ยอมทำนาเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและ หาความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวอยู่เสมอ และได้กลั่นแกล้งโจทก์และลูก ๆ โดยการไม่ยอมให้เข้าทำนาเพื่อถึงฤดูทำนา ฯลฯ” เช่นนี้ อย่างน้อยก็ตีความได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ทำกินร่วมกันตลอดมา ครั้น พ.ศ. 2515 จำเลยเริ่มประพฤติชั่ว ติดยาเสพติดและประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล ไม่ยอมทำมาหากิน ไม่ยอมทำนาและหาความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวอยู่เสมอ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2518 จำเลยกลั่นแกล้งไม่ให้โจทก์และบุตรเข้าทำนา จึงขอหย่าขาดกับจำเลย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยประพฤติชั่วดังฟ้อง ไม่เคยกลั่นแกล้งโจทก์และบุตรไม่ให้ทำนา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยว่า เหตุหย่าที่ว่าจำเลยประพฤติชั่วติดยาเสพติดก็ดี ประพฤติตัวเป็นอันธพาลก็ดีไม่ยอมทำมาหากินก็ดี กับกลั่นแกล้งมิให้โจทก์และบุตรเข้าทำนาก็ดี ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500โดยเฉพาะข้อติดยาเสพติดก็ไม่กล่าวว่าติดยาเสพติดอะไร ไม่เข้ากรณีประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1500(2) พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุหย่าตามฟ้อง ถือว่าโจทก์อ้างเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2)(3) แล้ว พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเหตุหย่าว่า “จำเลยประพฤติชั่ว ติดยาเสพติดและประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล ไม่ยอมทำมาหากินไม่ยอมทำนาเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและหาความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวอยู่เสมอ และได้กลั่นแกล้งโจทก์และลูก ๆ โดยการไม่ยอมให้เข้าทำนาเมื่อถึงฤดูทำนา ฯลฯ” อย่างน้อยก็ตีความได้ว่า จำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 1500(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว
พิพากษายืน