แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทะเบียนการสมรสไม่ใช่หนังสือสำคัญตามความหมายของมาตรา 6(20) ดังนั้นการซ่อนเร้นหรือทำลายทะเบียนสมรส จึงไม่เป็นความผิดฐานซ่อนเร้น หรือทำลายหนังสือสำคัญตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 228
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกันคือ
ก. จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปลัดอำเภอดุสิตมีหน้าที่รับจดทะเบียนการสมรส ได้บังอาจปลอมหลักฐานหรือใบสำคัญการสมรสระหว่างโจทก์กับนายพันตำรวจตรีธนู ชูประเทศ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการแสดงความสมบูรณ์ในการสมรส กระทำให้โจทก์หลงเชื่อและใช้เป็นหนังสือสำคัญ แสดงการสมรสที่แท้จริง จำเลยที่ 1 ได้ออกใบสำคัญการสมรสและใบรับเงินค่าจดทะเบียนการสมรสนอกสำนักให้โจทก์ยึดถือไว้
ข. ในวันเวลาเดียวกับข้อ ก. จำเลยทั้งสองได้สมคบกันกระทำการซ่อนเร้นหรือทำลายใบสำคัญหรือหลักฐานการสมรสซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำปลอมขึ้นและอยู่ในสมุดทะเบียนสมรสของอำเภอดุสิต โดยลักษณะอันทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและต่อมานายพันตำรวจตรีธนูได้ปฏิเสธการสมรสของโจทก์ โดยอ้างว่ามิได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 223-224-228-229-230 และ 63
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่ามิได้ทำผิดจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับนายพันตำรวจตรีธนูได้มีขึ้นจริง โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ในฐานกรมการอำเภอแต่ได้กรอกรายการสมรสของคู่สมรสแต่ฝ่ายหญิง เพราะฝ่ายชายมิได้มาลงชื่อให้ความยินยอมจำเลยที่ 2 และชายอีกคนหนึ่งลงชื่อเป็นพยานจำเลยมิได้ฉีกทะเบียนสมรส แต่ได้ทราบภายหลังว่าทะเบียนสมรสได้ถูกฉีกไป
ศาลชั้นต้นฟังว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์และนายพันตำรวจตรีธนู ได้ทำกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่เป็นผู้ทำไม่ใช่กรณีทำปลอมทะเบียนสมรสหรือออกใบคู่มือสมรสปลอมอย่างไรจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมหนังสือตามฟ้องโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ได้ฉีกทะเบียนสมรสนั้นเสีย จึงมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 224-228 พิพากษาให้จำคุกไว้ 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 หลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าได้ทำผิด ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ให้หนักกว่าที่ศาลชั้นต้นวางมาและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมคบกับ จำเลยที่ 1 ในการฉีกทะเบียนสมรสด้วย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
คงมีปัญหามาสู่ศาลอุทธรณ์ เฉพาะความผิดในการฉีกทะเบียนสมรสตามกฎหมายอาญา มาตรา 228 ประกอบด้วยมาตรา 224 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าหากจะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยสมคบกันฉีกทะเบียนสมรสจริงก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 228 เพราะทะเบียนสมรสไม่ใช่หนังสือสำคัญตามบทวิเคราะห์แห่งมาตรา 6(20) และไม่ใช่หนังสือพินัยกรรม พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 228 และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมคบกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ทะเบียนสมรสไม่ใช่หนังสือสำคัญตามความหมายของมาตรา 6(20) ดังนั้นการซ่อนเร้นหรือทำลายทะเบียนสมรสจึงไม่เป็นความผิดฐานซ่อนเร้นหรือทำลายหนังสือสำคัญตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 228 พิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์