คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1110/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมทำงานอยู่คนละจังหวัดกับภูมิลำเนาของโจทก์แต่ไปมาหาสู่กันเสมอ ต่อมาจำเลยออกจากงานไปอยู่ที่อื่นโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ไปหาจำเลยก็โดยประสงค์ให้ช่วยส่งเงินเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ เมื่อไม่พบกันจำเลยย่อมไม่ทราบความประสงค์ของโจทก์ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งโจทก์และไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ อันเป็นเหตุที่จะฟ้องขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรมหรือไม่ โจทก์อ้างเหตุเลิกมาในคำฟ้องสองเหตุคือ จำเลยจงใจละทิ้งโจทก์เหตุหนึ่ง กับจำเลยไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์อีกเหตุหนึ่ง สำหรับเรื่องจงใจละทิ้งนั้น ปรากฏตามคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดอุดรธานี ส่วนจำเลยนั้นก่อนปี พ.ศ. 2522 โจทก์ว่า จำเลยทำงานอยู่ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากจังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างนั้นโจทก์จำเลยไปมาหาสู่กันเสมอ กลางปีพ.ศ. 2522 โจทก์ไปหาจำเลยไม่ทราบว่าจำเลยไปอยู่ที่ไหนและจำเลยก็มิได้ส่งข่าวให้โจทก์ทราบด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยมีบ้านพักคนละแห่งกันอยู่แล้ว เป็นแต่จำเลยได้ออกจากงานที่เคยทำอยู่ ไปอยู่ที่อื่นโดยยังมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบนั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จงใจละทิ้งโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์นั้นก็ได้ความจากโจทก์ว่าก่อนที่จำเลยจะหายหน้าไป จำเลยเคยให้เงินโจทก์ก็ใช้สอยบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนที่โจทก์จะปลดเกษียณอายุราชการ ในตอนกลางปี พ.ศ. 2522 โจทก์ไปหาจำเลยไม่พบจำเลย เหตุที่โจทก์ไปหาจำเลยก็โดยโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยส่งเงินให้โจทก์ใช้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 100 บาท หรือ 200 บาท และให้ช่วยซ่อมบ้านด้วย เห็นว่าเมื่อโจทก์ไม่พบจำเลย จำเลยก็ย่อมไม่ทราบความประสงค์ของโจทก์ การที่จำเลยไม่ส่งข่าวให้โจทก์ทราบและส่งเงินให้โจทก์ใช้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งโจทก์และไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์แต่อย่างใด ฉะนั้นโจทก์ยังไม่มีเหตุที่จะฟ้องขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ

Share