คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11091/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประเภทหนึ่ง ตามที่บัญญัติใน ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง กฎหมายบัญญัติบังคับให้ศาลต้องมีคำสั่งไม่ว่าคู่ความจักมีคำขอหรือไม่
ค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีนั้น คำสั่งศาลต้องอยู่ในบังคับตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกับตาราง 7 ซึ่งกำหนดให้ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร หากศาลมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีต้องชดใช้ให้แก่คู่ความฝ่ายที่ชนะคดี ศาลก็จะต้องระบุจำนวนเงินสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองประเภทนี้โดยชัดแจ้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมเพียงว่า “ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นให้ยก” ย่อมชัดเจนแล้วว่า ศาลชั้นต้นมีดุลพินิจไม่สั่งให้จำเลยทั้งสี่ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์ และเป็นคำพิพากษาชอบด้วยบทบัญญัติที่ศาลต้องปฏิบัติในการทำคำพิพากษาตามมาตรา 141 วรรคหนึ่ง ทุกประการ หาใช่เป็นคำพิพากษาที่ไม่ครบถ้วนและไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2558)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในกรอบสีส้มและสีเหลือง รวมเนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 94.5 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 297 หมู่ที่ 3 ตำบลชนบท อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ห้ามจำเลยทั้งสี่นำที่ดินพิพาทไปขอออกโฉนดที่ดินและห้ามจำเลยทั้งสี่กับบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 297 หมู่ที่ 3 ตำบลชนบท อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เฉพาะพื้นที่สีเหลือง เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 13.5 ตารางวา และพื้นที่สีส้ม เนื้อที่ 5 ไร่ 81 ตารางวา รวมเป็นเนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 94.5 ตารางวา ห้ามจำเลยทั้งสี่นำที่ดินพิพาทไปขอออกโฉนดที่ดิน ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นแก่โจทก์เป็นเงิน 4,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อ 1 ข้อ 2.1 และ 2.3 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 ของจำเลยทั้งสี่เป็นฎีกาที่คัดลอกข้อความมาจากอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งได้วินิจฉัยด้วยเหตุผลอื่นที่แตกต่างจากเหตุผลของศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 6 ของจำเลยทั้งสี่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 4 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์หรือไม่ และจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นแก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสี่ฎีกาในข้อ 2.2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 เพียงไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาทต่อทางราชการ มิได้โต้แย้งสิทธิหรือรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสี่ต้องห้ามฎีกามาแล้วข้างต้น ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสี่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาท แม้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ที่โจทก์จะต้องฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 วรรคสอง ก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาทในที่ดินของโจทก์นั้น ย่อมเป็นการละเมิดและโต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาในข้อ 6 ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนดให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นแก่โจทก์เป็นการไม่ชอบและไม่เป็นธรรมแก่จำเลยทั้งสี่นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประเภทหนึ่ง ตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหนึ่ง ประกอบตาราง 7 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงนั้น กฎหมายบัญญัติบังคับให้ศาลต้องมีคำสั่งไม่ว่าคู่ความจักมีคำขอหรือไม่ โดยหากศาลไม่มีดุลพินิจเป็นประการอื่นก็ต้องสั่งให้คู่ความ ฝ่ายที่แพ้คดีเป็นผู้รับผิดในชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง ตามมาตรา 161 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีนั้น คำสั่งศาลต้องอยู่ในบังคับตาราง 6 ค่าทนายความ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งกำหนดอัตราขั้นต่ำและขั้นสูง กับตาราง 7 ซึ่งกำหนดให้ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร โดยในคดีมีทุนทรัพย์ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนทุนทรัพย์ หรือในคดีไม่มีทุนทรัพย์ต้องไม่เกินห้าพันบาท ดังนั้น ในการที่ศาลจะมีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองประเภทนี้ในคำพิพากษา หากศาลมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีต้องชดใช้ให้แก่คู่ความฝ่ายที่ชนะคดี ศาลก็จะต้องระบุจำนวนเงินสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองประเภทนี้โดยชัดแจ้ง ปรากฏว่า สำหรับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมเพียงว่า “ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นให้ยก” คำสั่งดังกล่าวนี้ย่อมชัดเจนแล้วว่า ศาลชั้นต้นมีดุลพินิจไม่สั่งให้จำเลยทั้งสี่ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์และเป็นคำพิพากษาชอบด้วยบทบัญญัติที่ศาลต้องปฏิบัติในการทำคำพิพากษาตามมาตรา 141 วรรคหนึ่ง ทุกประการ หาใช่เป็นคำพิพากษาที่ไม่ครบถ้วนและไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 หยิบยกเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นมากล่าวถึงและมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ต้องชดใช้แก่โจทก์เป็นเงิน 4,000 บาท นั้น เป็นคำสั่งที่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหรือไม่ เห็นว่า สำหรับคำสั่งศาลเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมนั้น คู่ความที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งได้ภายในหลักเกณฑ์ที่บัญญัติในมาตรา 168 โดยหากเป็นกรณีที่ศาลมิได้กำหนดหรือคำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมาย คู่ความก็มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียวได้ แต่หากเป็นอุทธรณ์หรือฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจที่ศาลกำหนดอยู่ในกรอบของกฎหมายจะต้องมีอุทธรณ์หรือฎีกาในเนื้อหาคดีด้วย จึงจะอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมรวมมาได้ สำหรับคดีนี้ จำเลยทั้งสี่เป็นฝ่ายอุทธรณ์คำพิพากษาเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น ประเด็นสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมในเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ซึ่งศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ต้องชดใช้แก่โจทก์ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่มิได้ยื่นอุทธรณ์และกลับเป็นผลร้ายเพิ่มขึ้นแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียว จริงอยู่ แม้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี จะมีอำนาจสั่งก้าวล่วงไปถึงคำสั่งของศาลล่างเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมก็ตาม แต่ก็จะต้องมิได้เป็นคำสั่งที่ก่อให้เกิดผลร้ายเพิ่มขึ้นแก่คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์หรือฎีกาเพียงฝ่ายเดียวเช่นคดีนี้ เพราะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติการดำเนินกระบวนพิจารณาในภาค 3 อุทธรณ์และฎีกา เว้นแต่คำสั่งนั้นกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมต่ำกว่าเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ ดังนี้ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงเป็นคำสั่งที่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง แม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้หยิบยกเหตุดังกล่าวนี้ในฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share