คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญาซื้อขายเรือนเพื่อจะรื้อเอาไปนั้น หาใช่ซื้อขายในฐานะอสังหาริมทรัพย์ ทำสัญญากันเองก็ใช้ได้
ฟ้องว่า ทำสัญญาซื้อเรือนและครัวไฟจากจำเลย เมื่อรื้อเอาไปและได้ชำระราคาแก่จำเลยไปแล้ว จำเลยให้การต่อสู้คดีกำกวมไม่ชัดแจ้ง แม้จะมีข้อความว่า จำเลยปฏิเสธตลอดข้อหา แต่เมื่อพิเคราะห์ต่อไปในคำให้การนั้น เป็นอันเข้าใจได้ว่าฝ่ายจำเลยรับแล้วว่า ได้มีการซื้อขายกันจริงดังฟ้อง ไม่ได้คัดค้านในข้อที่ว่าไม่มีการตกลงกันว่าซื้อขายแล้วจะรื้อเอาไป และไม่ได้คัดค้านว่า ไม่ได้รับเงินราคาซื้อขายกันแล้ว เช่นนี้เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สืบพยานก็ต้องฟังว่า จำเลยตกลงซื้อขายเรือนแก่โจทก์เพื่อรื้อไปและต้องฟังว่าจำเลยรับเงินราคาเรือนแล้ว
เพียงแต่โจทก์ไม่คัดค้านในการที่ผู้ร้องสอด ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยเดิมนั้น จะแปลว่าโจทก์รับว่าเป็นความจริงตามคำร้องสอดนั้นด้วยยังไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือขายเรือน เสาไม้แก่นพื้นกระดานมีระเบียงและนอกชาน พร้อม 1 หลัง ครัวไฟ 1 หลังกับตู้หรือชั้ว 2 ตู้ ซึ่งเป็นทรัพย์ของจำเลยให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,400 บาท โจทก์ตกลงรับซื้อและได้ชำระเงิน 1,400 บาท ให้จำเลยรับไปแล้ว กลับไม่ยอมให้โจทก์รื้อเรือนและครัวไฟนอกชานกับนำตู้ไปได้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลย

จำเลยให้การว่า (1) จำเลยทราบฟ้องแล้ว ขอให้การปฏิเสธตลอดข้อหา (2) จำเลยขอคัดค้านฟ้องโจทก์ว่า หนังสือสัญญาที่โจทก์มาฟ้อง เป็นหนังสือสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ทำกันเองใช้ไม่ได้ตามกฎหมาย อีกประการหนึ่งจำเลยเป็นหญิงมีสามีแล้วโจทก์ทราบว่าทรัพย์ที่ฟ้อง เป็นสินเดิมของนายเหล็งสามีจำเลย ๆ หามีอำนาจจะทำสัญญาซื้อขายได้ไม่ ทั้งหนังสือที่โจทก์ฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จะบังคับจำเลยหาได้ไม่ ภายหลังสามีจำเลยร้องสอดเข้ามาว่าผู้ร้องเป็นสามีจำเลย เรือนและตู้ที่ฟ้องรายนี้เป็นของผู้ร้องโจทก์ก็ทราบ และทราบว่าการที่จำเลยเอาไปขายนี้ หามีอำนาจขายโดยลำพังไม่ผู้ร้องขอร่วมเป็นจำเลยในคดีร่วมกับจำเลยเดิม เพื่อขอเพิกถอนนิติกรรมของโจทก์เสีย นอกนั้นคงต่อสู้ทำนองเดียวกับจำเลย

ถึงวันนัดชี้สองสถาน โจทก์และจำเลยเดิมไม่คัดค้านในการที่นายเหล็งร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลจึงอนุญาตตามที่นายเหล็งขอแล้วคู่ความท้ากันไม่สืบพยานด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่สืบจึงต้องแพ้ ส่วนข้อต่อสู้ของผู้ร้องสอด แตกต่างออกไปจากจำเลยเดิม และข้อบอกล้างนิติกรรมไม่ได้ฟ้องแย้ง ศาลวินิจฉัยให้ไม่ได้ จึงพิพากษาให้โจทก์ชนะตามคำขอ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีกำกวมไม่ชัดแจ้ง แม้ในข้อ 1 จะกล่าวปฏิเสธตลอดข้อหาก็ดีแต่เมื่อพิเคราะห์ต่อไปตามคำให้การข้อ 2 ตลอดจนข้อความตามคำร้องตลอดประกอบกันแล้ว เป็นอันเข้าใจได้ว่า คดีนี้ฝ่ายจำเลยรับแล้วว่า ได้มีการซื้อขายกันจริงตามฟ้องแม้ในสัญญาจะไม่กล่าวว่าเพื่อรื้อไป แต่ในฟ้องได้กล่าวไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมให้รื้อไปจำเลยไม่ได้ให้การคัดค้านในข้อนี้เลย ประกอบกับในสัญญาไม่ปรากฏว่า ได้ซื้อขายที่ดินที่ปลูกเรือนด้วย เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สืบพยาน ก็ต้องฟังว่าเป็นการซื้อเพื่อรื้อไปดังฟ้อง เรือนและครัวไฟที่ตกลงซื้อขายกัน จึงหาใช่ซื้อขายในฐานะอสังหาริมทรัพย์ไม่ ทำสัญญากันเองก็ใช้ได้

ในเรื่องเงิน 1,400 บาท ตามฟ้องว่าจำเลยได้รับไปจากโจทก์แล้ว จำเลยไม่ได้คัดค้านอย่างไรในข้อนี้ จึงต้องฟังเช่นเดียวกันว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนนี้ไปแล้วดังฟ้อง เมื่อฟังว่ามีการชำระราคากันแล้ว ก็ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือครบถ้วน ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย

การที่นายเหล็งผู้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม โจทก์ไม่ได้คัดค้านอย่างไร เพียงเท่านี้จะแปลงว่าโจทก์รับว่า เป็นความจริงตามคำร้องนั้นยังไม่ได้เมื่อฝ่ายจำเลยและผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายอ้างแล้ว ตนก็ต้องมีหน้าที่นำสืบ ให้ได้ความตามที่อ้างเมื่อไม่สืบ ก็ต้องฟังว่าสัญญานั้นสมบูรณ์ บังคับได้

ฎีกาของจำเลยและผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share