แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1รู้เห็นยินยอมให้ภรรยาของตนกู้เงินโจทก์เพื่อใช้หนี้ค่าสร้างบ้านและลงทุนการค้าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างสามีภรรยาซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจบอกล้างนิติกรรมกู้ยืมนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ภรรยาจำเลยที่ ๑กู้เงินโจทก์ไป ๒ ครั้ง ได้เอาโฉนดและบ้านเป็นประกัน เงินทั้งสองจำนวนนี้ภรรยาจำเลยที่ ๑ ได้นำไปปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัยร่วมกับครอบครัวและลงทุนค้าขาย ซึ่งจำเลยที่ ๑ รู้เห็นยินยอม ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมละเป็นหนี้เกี่ยวกับสินบริคณห์ ต่อมาภรรยาจำเลยที่ ๑ถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๑ สามีผู้ตายและจำเลยอื่น ๆ ซึ่งเป็นบุตรอันเกิดแก่จำเลยที่ ๑และผู้ตายเป็นผู้รับมรดก ต้องร่วมกันรับผิดใช้หนี้ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งหากให้การว่า ภรรยาจำเลยที่ ๑ ผู้ตาย ไม่เคยกู้เงินโจทก์เพื่อนำไปปลูกบ้านหรือลงทุนค้าขาย จึงไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมอันผูกพันสินบริคณห์ จำเลยที่ ๑มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยและได้มีหนังสือบอกล้างไปแล้ว สัญญากู้จึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ในฐานะส่วนตัวและฐานะทายาทโดยชอบธรรมของผู้ตายร่วมกับจำเลยอื่นในฐานะทายาทโดยชอบธรรมชดใช้เงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ยินยอมให้ภรรยาของตนกู้เงินโจทก์เพื่อใช้หนี้ค่าสร้างบ้านและลงทุนการค้าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างสามีภรรยาซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจบอกล้างนิติกรรมกู้ยืมนั้น สัญญากู้ตามฟ้องมีผลบังคับ พิพากษายืน