คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำนั้น หาต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมายไม่จะบรรยายถ้อยคำอย่างใดพอให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้กระทำการที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็ใช้ได้
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อ พ.ศ.2498 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญาซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำผิดถึงพ.ศ.2500 ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแล้วและยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญาโจทก์จึงขอแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาดังนี้เป็นเรื่องโจทก์เข้าใจผิดคิดว่ากฎหมายเปลี่ยนใหม่ก็ต้องลงตามกฎหมายใหม่ แต่ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไปไม่เพราะมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 บัญญัติว่าในกรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1, 2, 3 สมคบกันเข้าไปในบริเวณเรือนโจทก์ จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขึ้นเรือนไปฉุดคร่าโจทก์เพื่อการอนาจาร โจทก์ฟันจำเลยที่ 1 ๆ จึงปล่อยโจทก์แล้วจำเลยที่ 3, 4, 5 ได้พาจำเลยที่ 1 หนีไป ต่อมาจำเลยทั้ง 5 ได้นำความเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์สมคบกับนายขิมทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 เพื่อช่วยเหลือป้องกันนายขิมให้พ้นจากการจับกุมของจำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276,60, 63, 329, 118

ศาลชั้นต้นสั่งให้รอการไต่สวนมูลฟ้องเพื่อรอฟังผลคดีอื่น

ต่อมา พ.ศ. 2500 ศาลสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์จึงขอแก้คำขอท้ายฟ้องอ้างว่าประมวลกฎหมายอาญายกเลิกกฎหมายลักษณะอาญา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 284, 172, 173

ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลไต่สวนมูลฟ้องจำเลยที่เหลือแล้วเห็นว่า ข้อหาของโจทก์ทุกข้อไม่มีมูล และเหตุเกิดเมื่อ พ.ศ. 2497 โจทก์ฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2498 แต่กลับอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาเป็นบทขอให้ลงโทษ ไม่ใช่กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดจะว่ากระทำผิดกฎหมายใดก็ไม่ปรากฏ จึงยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 มีมูลในข้อหาว่าฉุดคร่าอนาจาร นอกนั้นไม่มีมูล ส่วนข้อที่โจทก์อ้างประมวลกฎหมายอาญาแทนกฎหมายลักษณะอาญานั้น จำเลยกระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะนั้นบัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และประมวลกฎหมายอาญาก็ถือว่าเป็นความผิดอยู่ โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาได้ แต่ให้ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดพิพากษาแก้ว่าเฉพาะจำเลยที่ 1 คดีมีมูลฐานฉุดคร่าอนาจาร

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ กับตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ครบองค์ประกอบ ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ขาดคำว่า บังอาจหรือเจตนา ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉุดคร่าอนาจารตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276 กับไม่บรรยายว่าจำเลยฉุดคร่าอย่างไร ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ และโจทก์แก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมิใช่กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดจะลงโทษตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอมิได้ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำว่า ฉุดคร่า แสดงว่าจำเลยกระทำโดยบังอาจคำว่า เพื่อการอนาจาร แสดงว่ากระทำโดยเจตนา ฟ้องโจทก์จึงครบองค์แล้วและโจทก์บรรยายว่าจำเลยฉุดคร่าโจทก์เพื่อการอนาจารต่อไป ก็เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วไม่เคลือบคลุม ข้อที่โจทก์แก้บทลงโทษนั้น โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาที่ประกาศใช้ใหม่แทนกฎหมายลักษณะอาญาได้ ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยที่ 1 จุดคร่าเพื่อการอนาจารจริง ต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 แต่ให้ลงโทษตามบทมาตราหลังนี้อันเป็นคุณแก่จำเลย พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี

จำเลยที่ 1 ฎีกาทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาเห็นว่า การบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่การกระทำนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ต้องมี “การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด” หาได้บัญญัติว่าต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมายไม่ จะบรรยายถ้อยคำอย่างใดพอให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำการที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็ใช้ได้บรรยายฟ้องว่า”จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 ให้ขึ้นไปบนเรือนของโจทก์ ให้เอาโจทก์ลงมา จำเลยที่ 1 ก็ขึ้นไปฉุดคร่าโจทก์ ๆ จะใช้น้ำกรดสาดป้องกันตัวจำเลยที่ 1 ได้ฉุดคร่าโจทก์เพื่อการอนาจารต่อไป” ดังนี้ เข้าใจได้ดีแล้วว่าจำเลยกระทำการพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามกฎหมายลักษณะอาญา หาต้องใช้คำว่า บังอาจ ด้วยไม่ การกระทำโดยผู้กระทำประสงค์ต่อผลเป็นการกระทำโดยเจตนา จำเลยฉุดคร่าเพื่อการอนาจารเป็นการพาไปเพื่อประสงค์ผลในทางเพศ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์แล้ว

โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2498 ว่าจำเลยกระทำผิดใน พ.ศ. 2497 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญษ แต่ศาลมิได้สั่งประทับฟ้องโดยรอคดีอื่นจนถึง พ.ศ. 2500 ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแล้วและยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญา โจทก์จึงขอแก้ฟ้องให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาดังนี้ เป็นเรื่องโจทก์เข้าใจผิด คิดว่ากฎหมายเปลี่ยนใหม่ก็ต้องลงตามกฎหมายใหม่ แต่ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไปไม่เพราะมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติในกรณีทำผิดตามกฎหมายเก่า และมาพิพากษาลงโทษเมื่อใช้กฎหมายใหม่แล้ว ว่าให้ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด

ส่วนข้อเท็จจริงนั้นเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ แต่เห็นควรแก้ไขข้อกำหนดโทษ

พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย 1 ปี แต่ให้รอไว้ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

Share