แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เหตุเกิดในเวลากลางวันมีแสงสว่างเต็มที่ ผู้เสียหายเห็นจำเลยได้ชัดเจนในระยะใกล้ชิดและเป็นเวลานานพอสมควรทั้งได้ชี้ให้จับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ในขณะที่ความจำของผู้เสียหายยังดีอยู่ทั้งผู้เสียหายได้บอกกับพนักงานสอบสวนมาตั้งแต่ต้นว่าจำคนร้ายได้ เชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้จริง ส่วนที่ผู้เสียหายมาแจ้งความ ล่าช้าไป 2 วันเป็นเพราะหลังเกิดเหตุแล้วได้ออกจากบ้านจะไปแจ้งความโดยอาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มารอรถยนต์โดยสารที่ปากทาง แต่รู้สึกไม่สบายมากมีไข้ขึ้นจึงขอให้ชาวบ้านช่วยนำกลับบ้าน ซึ่งในข้อนี้แพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายรับว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่และถูกไฟลวกที่ใบหน้า น่าเชื่อว่าเหตุที่ผู้เสียหายมาแจ้งความช้าเพราะเจ็บป่วยจริงหาได้เป็นพิรุธไม่ พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 83 และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงิน 600 บาท แก่ผู้เสียหายกับนักโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1501/2537 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1558/2537 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก (ที่ถูกประกอบด้วยมาตรา 83) ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 10 ปี ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงิน 600 บาท แก่ผู้เสียหาย กับให้นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1501/2537 ของศาลชั้นต้นส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 4 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1558/2537 ของศาลชั้นต้นนั้นไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาแล้วจึงไม่นับโทษต่อให้
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นฟังได้ยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันปล้นทรัพย์เงินสดจำนวน 600 บาทของนางลำจวน คล้ายเงิน ผู้เสียหายไป ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นคนร้ายดังกล่าวด้วยหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้แขนล็อกคอผู้เสียหายและล้วงเอาเงินจากกระเป๋าเสื้อผู้เสียหายไป จำเลยที่ 1 พูดว่าอะไรก็หวงไปหมด ฝ่ายจำเลยที่ 1และที่ 3 นำสืบว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อยู่ที่บ้านกับนายศฤงคารน้องชาย ส่วนจำเลยที่ 3 ช่วยทำส้มอยู่ที่บ้านนายสม แต่รับว่ารู้จักกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 เนื่องจากอยู่หมู่บ้านเดียวกันบางครั้งก็ร่วมดื่มสุราด้วยกัน จำเลยที่ 3 ถูกจับในข้อหาว่าลักทรัพย์ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 ขณะถูกควบคุมอยู่ที่สถานีตำรวจจำเลยที่ 1 กับนายศฤงคารมาเยี่ยมจึงถูกจับด้วย คนที่ชี้ตัวจำเลยที่ 1 เป็นคนละคนกับผู้เสียหาย เห็นว่า เหตุเกิดในเวลากลางวันมีแสงสว่างเต็มที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยได้ชัดเจนในระยะใกล้ชิดและเป็นเวลานานพอสมควร ทั้งได้ชี้ให้จับจำเลยที่ 1 และชี้ตัวจำเลยที่ 3หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ในขณะที่ความจำของผู้เสียหายยังดีอยู่จะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ไปเยี่ยมจำเลยที่ 3 กับนายศฤงคารน้องชายอีกคนหนึ่ง แต่ผู้เสียหายหาได้ชี้ให้นายศฤงคารด้วยไม่ทั้งผู้เสียหายได้บอกกับนายชม้อยสามีและพนักงานสอบสวนมาตั้งแต่ต้นว่าจำคนร้ายได้ จึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้จริง ส่วนที่ผู้เสียหายมาแจ้งความล่าช้าไป 2 วัน ก็ปรากฏจากคำผู้เสียหายว่าหลังเกิดเหตุแล้วได้ออกจากบ้านจะไปแจ้งความโดยอาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มารอรถยนต์โดยสารที่ปากทาง แต่รู้สึกไม่สบายมากมีไข้ขึ้นจึงขอให้ชาวบ้านช่วยนำกลับบ้าน ซึ่งปรากฏตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุก็ได้ระบุวันเวลากระทำผิดตรงกับคำเบิกความของผู้เสียหาย นายแพทย์กวิญ ลีละวัฒน์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายก็เบิกความว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่และถูกไฟลวกที่ใบหน้า น่าเชื่อว่าเหตุที่ผู้เสียหายมาแจ้งความช้าเพราะเจ็บป่วยจริง จึงหาได้เป็นพิรุธแต่อย่างใดไม่พยานฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 คงมีแต่คำของจำเลยที่ 1และที่ 3 เท่านั้น ไม่มีพยานอื่นมายืนยันให้เห็นว่าเป็นความจริงแต่อย่างใด จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ก็ได้ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกับพวกกระทำผิดจริงตามฟ้องศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน