คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยพรากพาหญิงไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจไปกับจำเลยก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตามมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจร่วมกันพรากและพานางสาวบุตรอายุ 17 ปี ไปเสียจากนายถนอม นางสมใจบิดามารดา โดยจำเลยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงนางสาวบุตรให้ไปซื้อปลากระป๋องมาทำกับแกล้มสุรา นางสาวบุตรหลงเชื่อได้ลงเรือไปกับนายสายหยุดจำเลย แล้วจำเลยได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายฉุดคร่าจับปล้ำพานางสาวบุตรไปเพื่อการอนาจาร เหตุเกิดที่ตำบลตลิ่งชัน อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 318

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลอาญาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นางสาวบุตรลงเรือมากับนายสายหยุด จำเลยโดยสมัครใจ เพื่อหนีตามนายสอาดจำเลยไปฉันชู้สาวมิได้หลงเชื่อในอุบายหลอกลวงนางสาวบุตรมิได้ถูกจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายฉุดคร่าพาไป จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 318 แต่นางสาวบุตรอายุยังไม่เกิน 18 ปี การที่นายสอาดจำเลยพรากพาไป แม้นางสาวบุตรจะเต็มใจไปด้วย ก็เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 นายอั้นและนายสายหยุดจำเลยเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดของนายสอาดจำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 319 มาด้วยแต่เห็นว่าเป็นความผิดในหมวดเดียวกัน และมีอัตราโทษเบากว่ามาตรา 318ศาลมีอำนาจลงโทษตามมาตรา 319 ได้ พิพากษาว่านายสอาดจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 จำคุก 6 เดือน นายอั้นนายสายหยุดจำเลยมีความผิดตามมาตรา 319 ประกอบด้วยมาตรา 86 จำคุกคนละ 3 เดือน

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า นางสาวบุตรสมัครใจตามจำเลยที่ 1 ไปด้วยความรักใคร่พอใจจะไปอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ไม่ได้ถูกจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายฉุดคร่าจับปล้ำพาไป จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 318 และเห็นว่าจำเลยพานางสาวบุตรผู้เสียหายไปด้วยความรักใคร่ไม่ได้ความว่าพาไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจารโดยทุจริตแต่ประการใด จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 319 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่า การที่จำเลยพานางสาวบุตรผู้เสียหายไปด้วยความรักใคร่ฉันชู้สาว เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 3/2485 คดีระหว่าง อัยการร้อยเอ็ดโจทก์ นายทองมาก สุวภานิช จำเลย ตัดสินไว้ว่าจำเลยกับนางสาวประดิษฐ์มีความรักใคร่กัน แล้วพากันไปอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยสุจริต จำเลยไม่มีความผิด ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาที่ 3/2485 ปรากฏว่าจำเลยพานางสาวประดิษฐ์ไปอยู่ด้วยกัน 11 เดือนกับ 11 วัน แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 พานางสาวบุตรไปเสียจากบิดามารดาได้คืนเดียว ผู้เสียหายก็หนีไปอยู่ที่อื่นเพราะทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนมีภรรยาแล้ว จำเลยเบิกความชั้นศาลว่า มีภรรยาชื่อนางแก้ว มีบุตรด้วยกัน 2 คน นางแก้วเสียชีวิตมาได้ 3 ปีแล้ว แต่ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การว่ามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อนางแก้ว นางแก้วตายจำเลยที่ 1 ได้นางฉลองเป็นภรรยา จำเลยที่ 1 มีบุตรกับนางแก้วคนหนึ่งมีบุตรกับนางฉลองคนหนึ่ง ขณะนี้ก็ยังอยู่กินกับนางฉลอง การที่จำเลยที่ 1มีภรรยาเป็นตัวตนอยู่แล้ว กลับคิดพาหญิงสาวอื่นไปอีกเช่นนี้ ยากที่จะฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะเลี้ยงดูนางสาวบุตรฉันสามีภรรยา จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายพูดชวนนางสาวบุตรให้ไปกับจำเลย ครั้นนางสาวบุตรบอกให้ จำเลยที่ 1 ไปสู่ขอกับพ่อแม่ จำเลยที่ 1 กลับบ่ายเบี่ยงว่ายากจนไม่มีเงินไปสู่ขอ ถ้ารักกันจริงก็ให้ไปด้วยกัน นางสาวบุตรก็ลงเรือไปกับจำเลยที่ 1นางสาวบุตรน่าจะไม่รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนมีภรรยาแล้ว นางสาวบุตรสมัครใจไปอยู่กินกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นความสมัครใจของนางสาวบุตรฝ่ายเดียวโดยไม่รู้ข้อความจริง การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการพานางสาวบุตรไปเพื่อการอนาจาร จำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share