แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ รวมไปถึงการชำระหนี้ให้บางส่วนตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยตกลงชำระหนี้บัตรเครดิตโดยยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลย และสัญญาการใช้บัตรเครดิตระบุว่า หากมีการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตไม่ว่าด้วยเหตุประการใด ให้ถือว่าเป็นการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น มิใช่เป็นการยกเลิกสัญญา และหากปรากฏว่ามียอดเงินเป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยตกลงที่จะชำระหนี้โดยให้โจทก์หักเงินจากบัญชีชำระหนี้ได้ ดังนี้ การที่โจทก์หักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้จึงเป็นกรณีที่จำเลยยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลง หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์หักเงินจากบัญชีของจำเลยตามอำเภอใจไม่ กรณีจึงเป็นการรับสารภาพหนี้ต่อโจทก์ด้วยการชำระหนี้ให้บางส่วนอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) เช่นนี้นับแต่วันที่จำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายจนถึงวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ 772,001.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 573,685.56 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 772,001.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 573,685.56 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นลูกค้าบัตรเครดิตโจทก์ คือบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด และบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ โพธิ์วีซ่าทอง จำเลยได้นำบัตรเครดิตทั้งสองบัตรที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าซื้อสินค้า ชำระค่าบริการและเบิกถอนเงินสดหลายครั้ง สำหรับบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด มีการใช้บัตรครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2548 หลังจากนั้นโจทก์ระงับการใช้บัตร โจทก์ส่งใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรเครดิตโดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2548 ส่วนบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ โพธิ์วีซ่าทอง จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2548 หลังจากนั้นโจทก์ระงับการใช้บัตร โจทก์ส่งใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรเครดิตโดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวภายในวันที่ 13 กันยายน 2548 ต่อมามีรายการชำระหนี้บัตรเครดิตข้างต้นหลายรายการ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี หรือไม่ เห็นว่า เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ รวมไปถึงการชำระหนี้ให้บางส่วน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สำหรับหนี้บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด ข้อเท็จจริงปรากฏตามใบคำขอเป็นสมาชิกบัตรเครดิตพร้อมสัญญาการใช้บัตรเครดิตว่า จำเลยตกลงชำระหนี้บัตรเครดิตโดยยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลย และสัญญาการใช้บัตรเครดิต ข้อ 20 และ ข้อ 9.1 ระบุว่าหากมีการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตไม่ว่าด้วยเหตุประการใด ให้ถือว่าเป็นการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น มิใช่เป็นการยกเลิกสัญญา และหากปรากฏว่ามียอดเงินเป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยตกลงที่จะชำระหนี้โดยให้โจทก์หักเงินจากบัญชีชำระหนี้ได้ การที่โจทก์หักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้ดังปรากฏตามใบแจ้งยอดรายการบัตรเครดิตนั้น จึงเป็นกรณีที่จำเลยยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงนั่นเอง หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์หักเงินจากบัญชีของจำเลยตามอำเภอใจไม่ ซึ่งจำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2549 ส่วนหนี้บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ โพธิ์วีซ่าทอง จำเลยไม่ได้ตกลงยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อชำระหนี้ดังเช่นบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด หากแต่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดหนี้ที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบ ปรากฏว่ามีรายการชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 จำนวน 25,000 บาท ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยความสมัครใจ กรณีจึงเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ด้วยการชำระหนี้ให้บางส่วนอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) เช่นนี้นับแต่วันที่จำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองบัตรให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายจนถึงวันฟ้องเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2550 จึงยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ