แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของจำเลยร่วมชำระคดีโจทก์. คดีถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์นำเรื่องที่ดินรายเดียวกันนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก แม้จะเป็นเพียงที่ส่วนหนึ่งและเปลี่ยนตัวจำเลยจากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยคดีนี้. ก็คงมีประเด็นเพียงว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นของใครเท่านั้น. กรณีเป็นเรื่องที่มีประเด็นซึ่งศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยเหตุอย่างเดียวกัน. ซึ่งศาลชี้ขาดมาแล้วในสิทธิของที่พิพาทว่าเป็นของจำเลยร่วม. จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยซ้ำในเรื่องสิทธิแห่งที่พิพาทอีก.เพราะเป็นฟ้องซ้ำ. และที่ดินรายนี้จำเลยขายให้ภริยาจำเลย. ฐานะของจำเลยแม้จะไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายที่แปลงนี้โดยตรงกับจำเลยร่วมก็จริง.แต่จำเลยเป็นสามีของ ฟ. ภริยาจำเลยคู่สัญญาซื้อขายกับจำเลยร่วม ก็มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในที่แปลงนี้ด้วย. ในคดีนี้จำเลยร่วมได้ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ทั้งจำเลยและจำเลยร่วมย่อมชอบที่จะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนเป็นข้อต่อสู้ได้โดยชอบ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองร่วมกันในที่สวนยางแปลงหนึ่ง จำเลยใช้ให้ลูกจ้างจำเลยกรีดน้ำยางของโจทก์ไป ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่ให้จำเลยใช้เงินค่าน้ำยาง5,250 บาท ฯลฯ จำเลยให้การว่า ภริยาจำเลยซื้อที่ดินนี้จากนายทองผู้เป็นเจ้าของเดิม เป็นที่แปลงเดียวกับที่นายทองพิพาทกับโจทก์และพวกมาหลายหน ซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นที่ดินของนายทองตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 32/2497, 13/2498, 206/2503 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายทองเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลได้เรียกนายทองเข้ามา นายทองให้การทำนองเดียวกับจำเลย ทั้งสองฝ่ายว่าที่ดินภายในเส้นสีฟ้าตามแผนที่กลางเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลาง ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 206/2503 ซึ่งนายทองจำเลยร่วมชนะคดีนายครกโจทก์ แล้วจำเลยร่วมขายที่แปลงนี้ให้ภริยาจำเลย ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ซื้อขายกัน ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ อ้างว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งแดงที่ 206/2503 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา คดีมีประเด็นว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งแดงที่ 206/2503หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ดูคำฟ้องคำให้การของจำเลยทั้งสองและคำแถลงรับของคู่ความประกอบกับแผนที่กลางในคดีนี้ และแผนที่กลางในคดีแพ่งแดงที่ 13/2498, 32/2497 และ 206/2503 แล้วก็เห็นได้ชัดว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของนายทองจำเลยร่วมชนะคดีนายครกกับพวกมาแล้ว ฉะนั้นการที่นายครกกับพวกโจทก์นำเรื่องที่ดินรายเดียวกันนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก แม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งและเปลี่ยนตัวจำเลยจากนายทองมาเป็นสิบตำรวจเอกสุทัศน์ก็ตาม คดีนี้ก็คงมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยเพียงว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นของใครเท่านั้น ต่อมาสิบตำรวจเอกสุทัศน์ก็ได้ร้องขอให้นายทอง พัฒน์ช่วย ซึ่งเดิมเป็นเจ้าของที่พิพาททั้งแปลงใหญ่ตามใบเหยียบย่ำเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาตและเรียกเข้ามาแล้ว นายทอง พัฒน์ช่วย จึงให้การต่อสู้เป็นทำนองเดียวกับสิบตำรวจเอกสุทัศน์ ดังนี้ จึงทำให้ฐานะของคดีนี้มีประเด็นเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องสิทธิในที่ดินของนายทอง พัฒน์ช่วย ซึ่งนายครกกับพวกโจทก์ฝ่ายหนึ่ง กับนายทอง พัฒน์ช่วย อีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นความโต้แย้งสิทธิในที่ดินรายเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้มาแล้ว ตามคดีดังกล่าวทั้งสามนั้น ศาลพิพากษาให้นายทองชนะคดีนายครก คดีถึงที่สุดแล้ว กรณีเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่มีประเด็นซึ่งศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยเหตุอย่างเดียวกัน คือ ศาลได้ชี้ขาดมาแล้วในสิทธิของที่พิพาทว่าเป็นของนายทอง พัฒน์ช่วย จำเลยร่วมคดีนี้จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยซ้ำในเรื่องสิทธิแห่งที่พิพาทอีก เพราะเป็นการฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โดยเหตุว่าที่พิพาทนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่นายทอง พัฒน์ช่วย ชนะคดี นายครกกับพวกโจทก์มาแล้ว และที่ดินรายนี้นายทองจำเลยร่วมได้ขายให้แก่นางเฟื้อ พ่วงแสง ภริยาสิบตำรวจเอกสุทัศน์จำเลย ฐานะของสิบตำรวจเอกสุทัศน์ แม้จะไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายที่แปลงนี้โดยตรงกับนายทองจำเลยร่วมก็จริงแต่สิบตำรวจเอกสุทัศน์เป็นสามีนางเฟื้อ พ่วงแสง คู่สัญญาซื้อขายกับนายทองจำเลยร่วม ก็มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในที่แปลงนี้กับนางเฟื้อภริยาด้วย เมื่อในคดีนี้นายทอง พัฒน์ช่วย ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ทั้งสิบตำรวจเอกสุทัศน์และนายทอง พัฒน์ช่วยย่อมชอบที่จะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนมาเป็นข้อต่อสู้ได้โดยชอบ พิพากษายืน.