คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1095/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรมฯ มาตรา 25 บัญญัติว่า กระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา การศาสนา และการวัฒนธรรม และมาตรา 26 บัญญัติว่า กระทรวงศึกษาธิการมีส่วนราชการดังต่อไปนี้ (11) สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ และ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ หมวด 2 การจัดระเบียบราชการในกระทรวงหรือทบวง มาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้จัดระเบียบราชการของกระทรวง ดังนี้ (3) กรม หรือ ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น… วรรคสอง บัญญัติว่า ให้…ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น… วรรคสอง บัญญัติว่า ให้…ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นตาม (3) มีฐานะเป็นกรม และหมวด 4 การจัดระเบียบราชการในกรม มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้กรมมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการส่วนใดส่วนหนึ่งของกระทรวงหรือทบวง ตามที่กำหนดใน พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการของกรมหรือตามกฎหมายว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของกรมนั้น จากบทกฎหมายที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติเป็นส่วนราชการซึ่งขึ้นตรงต่อจำเลย มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของจำเลย ดังนั้น การกระทำของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติก็เสมือนเป็นตัวแทนของจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โดยไม่จำต้องฟ้องเรียกสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติมาเป็นจำเลยร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,040,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 พฤษภาคม 2542) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โรงเรียนบ้านหนองนกเขาเป็นส่วนราชการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแยกต่างหากจากจำเลย สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์มิใช่จำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ในวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2534 หมวด 11 กระทรวงศึกษาธิการ มาตรา 25 บัญญัติว่า กระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา การศาสนาและการวัฒนธรรม และมาตรา 26 บัญญัติว่า กระทรวงศึกษาธิการมีส่วนราชการดังต่อไปนี้ (11) สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 หมวด 2 การจัดระเบียบราชการในกระทรวงหรือทบวง มาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้จัดระเบียบราชการของกระทรวง ดังนี้ (3) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น…วรรคสองบัญญัติว่า ให้…ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นตาม (3) มีฐานะเป็นกรม และหมวด 4 การจัดระเบียบราชการในกรม มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้กรมมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการส่วนใดส่วนหนึ่งของกระทรวงหรือทบวง ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของกรม หรือตามกฎหมายว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของกรมนั้นจากบทกฎหมายที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติเป็นส่วนราชการซึ่งขึ้นตรงต่อจำเลย มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของจำเลย ดังนั้น การกระทำของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติก็เสมือนเป็นตัวแทนของจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โดยไม่จำต้องฟ้องเรียกสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติมาเป็นจำเลยร่วม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุมีฝนตกหนักและพายุพัดแรงผู้ตายได้วิ่งออกไปเล่นน้ำฝน เนื่องจากพายุพัดแรงเป็นเหตุให้โป๊ะไฟหล่นจากเพดาน ไฟฟ้าจึงช็อตผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเกิดจากเหตุสุดวิสัย …ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าแผงไฟฟ้าและสายไฟฟ้าได้หล่นลงมาก่อนวันเกิดเหตุ นายไสว ตลับไธสง ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านหนองนกเขา และมีหน้าที่ดูแลมิได้ใช้ความระมัดระวังซ่อมแซมดูแลแผงไฟฟ้าและสายไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย จึงเป็นความประมาทเลินเล่อและเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า ค่าขาดไร้อุปการะที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้แก่โจทก์สูงเกินไปหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า บิดามารดาของผู้ตายประกอบอาชีพทำไร่ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ตายจะได้รับการส่งเสียให้เล่าเรียนสูงขึ้นและน่าเชื่อว่าผู้ตายหากโตขึ้นคงต้องประกอบอาชีพเช่นเดียวกับบิดามารดา คือทำไร่ เห็นว่า ข้อฎีกาของจำเลยเช่นนี้เป็นข้อที่จำเลยคาดเดาไปเองอาชีพทำไร่มิใช่ว่าจะเป็นอาชีพที่ไม่สามารถที่จะมีเงินพอส่งเสียบุตรให้เล่าเรียนได้ทั้งเป็นเรื่องในอนาคต แต่ที่ไม่อาจโต้เถียงได้ก็คือผู้ตายจะต้องเติบโตขึ้นมาและมีอาชีพการงานถึงแม้จะจบมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องมีเงินส่งเสียบิดามารดาบ้าง การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชำระค่าขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์เป็นเงิน 540,000 บาท นับว่าเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share