คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2479

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่หนี้ครบกำหนดแล้วคู่สัญญายังคงปฏิบัติตามสัญญาเดิม แลโจทก์ยังมิได้ฟ้องร้องนั้น หาเรียกว่าเป็นการผ่อนเวลาไม่ ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดตามสัญญา เมื่อสัญญากู้ครบกำหนดแล้วสัญญายังคงส่งดอกเบี้ย+มาโดยเจ้าหนี้ไม่ฟ้องนั้น ตามกำหนดเวลาเดิมนั้น ไม่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนกำหนดเวลาหรือแก้เงื่อนไขนั้นจะถือว่าเป็นสัญญาใหม่โดยไม่มีกำหนดเวลาหาเป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง + +โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชอบเป็นส่วนภายหลังขอแก้แล+เติมฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชอบในฐานะตัวแทนของหุ้นส่วนบริษัทดังนี้ เมื่อพิจารณาได้ความว่าจำเลยต้องรับผิดเป็น+ตัว ศาลก็พิพากษาโจทก์ชนะคดีได้+

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกต้นเงินแลดอกเบี้ยที่ค้างรวม ๓๐๐๘๘ บาท ๗๗ สตางค์จากจำเลยโดยกล่าวว่าโจทก์ให้จำเลยที่ ๑ กู้เงินไป ๓๐๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑๐ ปี จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันแล้วจำเลยผิดสัญญา
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ส่วนตัว จำเลยกู้ในฐานะเป็นผู้จัดการแลเป็นตัวแทนของบริษัทสยามนิรามัยภาพยนตร์
ต่อมาโจทก์ยื่นแก้แลเพิ่มเติมฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ กู้แทนแลกู้เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในบริษัทสยามนิรามัยภาพยนตร์ จึงขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์หรือมิฉะนั้นขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยทั้ง ๒ เป็นหุ้นส่วนในบริษัท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าฟ้องโจทก์กล่าวความเป็น ๒ อย่าง ศาลจะต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนเท่านั้น ไม่มีสิทธิขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ส่วนตัว
ทางพิจารณาได้ความว่าตามเอกสารสัญญากู้ข้อ ๑ มีว่า “ข้าพเจ้านายพงศ์ รังควร ผู้จัดการสยามนิรามัยภาพยนตร์ ข้อ ๓ มีว่า” ถ้าบริษัทเลิกล้ม ฯลฯ ข้าพเจ้ายอมให้ท่านเอาทรัพย์สิ่งของซึ่งเป็นของบริษัท…” ข้อ ๔ มีว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ส่งดอกเบี้ยให้ถือว่าข้าพเจ้าผิดสัญญา…”ในตอนท้ายแห่งสัญญาจำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้ให้สัญญาแลตามสัญญาค้ำประกันก็มีว่า”ถ้านายพงศ ์รังควร ล้มตายหนีหายไปก็ดี …”และปรากฎอีกว่าจำเลยที่ ๑ ยังได้เสียดอกเบี้ยให้โจทก์ต่อมาแม้จนบริษัทได้เลิกล้มไปแล้ว
ศาลล่างทั้ง ๒ ฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเป็นส่วนตัว จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้อง ๒ อย่างเลื่อนลอย ชอบที่จะยกฟ้อง แลศาลจะชี้ขาดจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวหาได้ไม่ จำเลยที่ ๒ ว่าโจทก์ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยจำเลยที่ ๒ มิได้ยินยอมด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เอาเงินไปโจทก์ก็ต้องฟ้องเรียกจากจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชอบว่ากู้ไปส่วนตัวหรือขอให้รับผิดชอบในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนทั้ง ๒ ประการนี้จำเลยก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แลเห็นว่าการถือความในเอกสารนั้น จะถือเอาฉะเพาะข้อความบางตอนหาได้ไม่ ต้องดูทั่ว ๆ ไป เห็นว่าเรื่องนี้ตามเอกสารแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ยอมตนเข้าผูกพันเป็นผู้กู้ แลจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน
ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ นั้นเห็นว่าที่โจทก์ยับยั้งการฟ้องร้องไว้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลาตามมาตรา ๗๐๐ แลข้อที่ว่าสัญญาเดิมมีกำหนดเวลาแน่นอนแล้วกลายเป็นไม่มีกำหนดย่อมเป็นการแปลงหนี้ใหม่นั้น เห็นว่าการแปลงหนี้ใหม่จะต้องมีสัญญาใหม่เปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้สัญญาใหม่เปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อีกต่างหาก เรื่องนี้หาใช่มีสัญญาใหม่อีกไม่ คู่สัญญาคงถือสัญญาเดิมแลกำหนดเวลาเดิม การยังยั้งไม่ฟ้องร้องหาใช่เปลี่ยนกำหนดเวลาหรือแก้ไขเงื่อนไขแต่อย่างใดไม่ จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share